วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต



บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต

ความหมายของอินเทอร์เน็ต

          อินเตอร์เน็ต  (Internet) นั้นย่อมาจากคำว่า “International    network”  หรือ  “Inter Connection  network”  ซึ่งหมายถึง  เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกเข้าไว้ด้วยกัน  เพื่อให้เกิดการสื่อสาร  และการแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกัน  โดยอาศัยตัวเชื่อมเครือข่ายภายใต้มาตรฐานการเชื่อมโยงเดียวกัน  นั่นก็คือ  TCP/IP Protocol  ซึ่งเป็นข้อกำหนดวิธีการติดต่อสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย  ซึ่งโปรโตคอลนี้จะช่วยให้คอมพิวเตอร์ที่มีฮาร์ดแวร์ที่แตกต่างกันสามารถติดต่อถึงกันได้  การที่มีระบบอินเตอร์เน็ต ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายข่าวสารข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้ โดยไม่จำกัดระยะทาง  ส่งข้อมูลได้หลายรูปแบบ  ทั้งข้อความตัวหนังสือ ภาพ และ เสียง โดยอาศัยเครือข่ายโทรคมนาคมเป็นตัวเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ตนับเป็นอภิระบบเครือข่ายที่ยิ่งใหญ่มาก มีเครื่องคอมพิวเตอร์หลายล้านเครื่องทั่วโลกเชื่อมต่อกับระบบ ทำให้คนในโลกทุกชาติทุกภาษาสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ โดยไม่ต้องเดินทางไป โลกทั้งโลกเปรียบเสมือนเป็นบ้านหนึ่งที่ทุกคนในบ้านสามารถพูดคุยกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง ประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย แต่เกิดประโยชน์ต่อสังคมโลกปัจจุบันมาก

ความเป็นมาของอินเทอร์เน็ต

อินเตอร์เน็ต มีพัฒนาการมาจาก อาร์พาเน็ต (Arp Anet เรียกสั้น ๆ ว่า อาร์พา) ที่ตั้งขึ้นในปี 2512 เป็นเครือข่ายคอมพิวเคอร์ของกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา ที่ใช้ในงานวิจัยด้านทหาร (ARP : Advanced Research Project Agency)มาถึงปี 2515 หลังจากที่เครือข่ายทดลองอาร์พาประสบความสำเร็จอย่างสูง และได้มีการปรับปรุงหน่วยงานจากอาร์พามาเป็นดาร์พา (Defense Advanced Research Project Agency: DARPA) และในที่สุดปี 2518 อาร์พาเน็ตก็ขึ้นตรงกับหน่วยการสื่อสารของกองทัพ (Defense Communication Agency)
ในปี 2526 อาร์พาเน็ตก็ได้แบ่งเป็น 2 เครือข่ายด้านงานวิจัย ใช้ชื่ออาร์พาเน็ตเหมือนเดิม ส่วนเครือข่ายของกองทัพใช้ชื่อว่า มิลเน็ต (MILNET : Millitary Network) ซึ่งมีการเชื่อมต่อโดยใช้ โพรโตคอล TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet) เป็นครั้งแรก
ในปี 2528 มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติของอเมริกา (NSF) ได้ ให้เงินทุนในการสร้างศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 6 แห่ง และใช้ชื่อว่า NSFNETและพอมาถึงปี 2533 อาร์พารองรับภาระที่เป็นกระดูกสันหลัง (Backbone) ของระบบไม่ได้ จึงได้ยุติอาร์พาเน็ต และเปลี่ยนไปใช้ NSFNET และเครือข่ายขนาดมหึมา จนถึงทุกวันนี้ และเรียกเครือข่ายนี้ว่า อินเตอร์เน็ต โดยเครือข่ายส่วนใหญ่จะอยู่ในอเมริกา และปัจจุบันนี้มีเครือข่ายย่อยมากถึง 50,000 เครือข่ายทีเดียว และคาดว่า ภายในปี 2543 จะมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั้งโลกประมาณ 100 ล้านคน หรือใกล้เคียงกับประชากรในโลกทั้งหมด
สำหรับประเทศไทยนั้น อินเตอร์เน็ตเริ่มมีบทบาทอย่างมากในช่วงปี 2530-2535 โดยเริ่มจากการเป็นเครือข่ายในระบบคอมพิวเตอร์ระดับมหาวิทยาลัย (Campus Network) แล้วจึงเชื่อมต่อเข้าสู่อินเตอร์เน็ตอย่างสมบูรณ์เมื่อเดือนสิงหาคม 2535และ ในปี 2538 ก็มี การเปิดให้ บริการอินเตอร์เน็ตในเชิงพาณิชย์ (รายแรก คือ อินเตอร์เน็ตเคเอสซี) ซึ่งขณะนั้น เวิร์ลด์ไวด์เว็บกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในอเมริกา
อย่างไรก็ตาม อินเตอร์เน็ต บางครั้งก็มีการเรียกย่อเป็น เน็ต (Net) หรือ The Net ด้วยเช่นเดียวกัน อีกคำหนึ่งที่หมายถึงอินเตอร์เน็ตก็คือ เว็บ (Web) และ เวิร์ลด์ไวด์เว็บ (World – Wide Web) (จริง ๆ แล้ว เว็บเป็นเพียงบริการหนึ่งของอินเตอร์เน็ตเท่านั้น แต่บริการนี้ ถือว่าเป็นบริการที่มีผู้นิยมใช้มากที่สุด


อินเทอร็เน็ตในประเทศไทย
ปี พ.ศ. 2529 อาจารย์กาญจนา กาญจนสุต จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย (AIT) ร่วมกับอาจารย์โทโมโนริ คิมูระ จากสถาบันเดียวกัน ร่วมสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยอาศัย
          - โมเด็ม NEC ความเร็ว 2400 Baud
          - เครื่องคอมพิวเตอร์พีซี NEC
          - สายโทรศัพท์ทองแดง 
          โดยเครือข่ายที่ได้ วิ่งด้วยความเร็ว 1200 - 2400 Baud และมีเสียงดังมาก จากนั้นได้ปรับเปลี่ยนไปใช้บริการไทยแพค ของการสื่อสารแห่งประเทศไทย ซึ่งใช้เทคโนโลยี X.25 ผ่านการหมุนโทรศัพท์ไปยังศูนย์บริการของการสื่อสารแห่งประเทศไทย ทำการรับส่งอีเมล์กับมหาวิทยาลัยโตเกียว และมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น โดยใช้โปรแกรม UUCP ตลอดจนส่งอีเมล์ไปยังบริษัท UUNET ที่เวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา และนำมาใช้กับงานของอาจารย์ และงานสอนนักศึกษาในเวลาต่อไป นับได้ว่า อาจารย์กาญจนา กาญจนสุต เป็นบุคคลแรกที่เริ่มใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์รายแรกของประเทศไทย
         
หลังจากนั้นได้มีความร่วมมือระหว่างรัฐบาลออสเตรเลีย ภายใต้โครงการ The International Development Plan (IDP) ได้ให้ความช่วยเหลือกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย พัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไทยขึ้นมา ในปี พ.ศ. 2531 โดยให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย มีหน้าที่เป็นศูนย์กลางของประเทศไทยในการเชื่อมโยงไปที่เครื่องแม่ข่าย ของมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น และตั้งชื่อโครงการนี้ว่า TCSNet - Thai Computer Science Network โดยมีการติดต่อผ่านเครือข่ายวันละ 2 ครั้ง จ่ายค่าใช้จ่ายปีละ 4 หมื่นบาท และใช้ซอฟต์แวร์ SUNIII ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการ UNIX ประเภทหนึ่ง ที่แพร่หลายในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของออสเตรเลีย (Australian Computer Science Network - ACSNet)          ซอฟต์แวร์ SUNIII เป็นโปรแกรม UNIX ที่สามารถรับส่งข้อมูลไปกลับได้เลยในการติดต่อครั้งเดียว ประกอบด้วยเครือข่ายการส่งข้อมูลระบบ Multiple Hops ทำให้แตกต่างจาก UUCP ตรงที่ผู้ใช้ไม่ต้องใส่คำสั่ง และบอกที่อยู่ของจุดหมายปลายทางผ่านระบบทางไกล เพราะเครือข่าย SUNIII สามารถหาที่อยู่ของปลายทาง และส่งข้อมูลได้เอง โปรแกรมนี้ทำงานได้ดีทั้งกับสายเช่าแบบถาวร (Dedicated Line) สายโทรศัพท์ธรรมดาที่ติดต่อแบบ Dial-up และสายที่ใช้ X.25
         
นอกจากนี้สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย ยังเป็นศูนย์เชื่อม (Gateway) ระหว่างประเทศไทย กับ UUNET อันส่งผลให้นักวิชาไทยทั่วไป สามารถใช้บริการจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ได้อย่างกว้างขวาง
         
ปี พ.ศ. 2534 อาจารย์ทวีศักดิ์ กออนันตกูล อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดตั้งศูนย์อีเมล์แห่งใหม่ โดยใช้โปรแกรม MHSNet และใช้โมเด็ม 14.4 Kbps (ซึ่งเร็วที่สุดในประเทศไทยในขณะนั้น) และทำหน้าที่แลกเปลี่ยนข้อมูลกับเครื่อง Munnari ของออสเตรเลีย กับมหาวิทยาลัยต่างๆ ในประเทศผ่านโปรแกรม UUCP
         
เครือข่ายแห่งใหม่นี้ ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยต่างๆ ใน TCSNet และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตลอดจนศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และใช้ชื่อโครงการว่า "โครงการเชื่อมเครือข่ายไทยสารเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตต่างประเทศ"
          หลังจากนั้นเนคเทค ก็ได้พัฒนาเครือข่ายอีกเครือข่ายขึ้นมา โดยใช้ X.25 รวมกับ MHSNet และใช้โปรโตคอล TCP/IP เกิดเป็นเครือข่ายไทยสาร "Thai Social/Scientific Academic and Research Network - ThaiSarn" ในปี พ.ศ. 2535
           ปลายปี 2535 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เช่าชื้อสายครึ่งวงจร 9.6 Kbps จากการสื่อสารแห่งประเทศไทย เพื่อเชื่อมกับ UUNET สหรัฐอเมริกา ทำให้จุฬาฯ เป็นศูนย์กลางแห่งใหม่สำหรับเครือข่ายภายใต้ชื่อ ThaiNet อันประกอบด้วย AIT, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และให้สามาชิกไทยสารใช้สายเชื่อมนี้ได้โดยผ่านทางเนคเทคอีกด้วย ภายใต้ระเบียบการใช้อินเทอร์เน็ต (Appropriate Use Policy - AUP) ของ The National Science Foundation (NSF)          และปี 2537 เนคเทค ได้เช่าชื้อสายเชื่อมสายที่สอง ที่มีขนาด 64 Kbps ต่อไปยังบริษัท UUNet ทำให้มีผู้ใช้เพิ่มมากขึ้น จาก 200 คนในปี 2535 เป็น 5,000 คนในเดือนพฤษภาคม 2537 และ 23,000 คนในเดือนมิถุนายน ของปี 2537 ฅ
         AIT ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมภายในประเทศระหว่าง ThaiNet กับ ThaiSarn ผ่านสายเช่า 64 Kbps ของเครือข่ายไทยสาร 
        ปี พ.ศ. 2538 รัฐบาลไทย เปิดบริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ โดยมีบริษัทอินเทอร์เน็ตแห่งประเทศไทย จำกัด อันเป็นบริษัทถือหุ้นระหว่างการสื่อสารแห่งประเทศไทย องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยใช้สายเช่าครึ่งวงจรขนาด 512 Kbps ไปยัง UUNet โดยถือว่าเป็นบริษัทผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตรายแรกของประเทศไทย และได้เพิ่มจำนวนจนเป็น 18 บริษัทในปัจจุบัน
แสดงเครือข่ายไทยสาร

 

แสดงการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในประเทศไทย


การประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ต

          ยุคปัจจุบันเกิดภาวะของการแข่งขันที่สูงในทุกๆด้าน ฉะนั้น มนุษย์จึงต้องการหาสิ่งที่จะเข้ามาช่วยเพื่อความสะดวก รวดเร็ว ยิ่งขึ้น จึงทำให้เกิดการบริการมากมายบนอินเทอร์เน็ตเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงาน หรือในชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล เช่น

การติดต่อสื่อสาร
          การสื่อสารผ่านทางอินเทอร์เน็ตเป็นบริการที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น
          1. ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail)
                เป็นบริการเหมือนกับการรับ - ส่งจดหมายโดยผ่านบุรุษไปรษณีย์ แต่บุรุษไปรษณีย์ของการรับ - ส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) ก็คือ เว็บไซต์ต่างๆ ที่ได้สมัครเป็นสมาชิกเพื่อขอให้บริการ การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์นั้น สามารถส่งจดหมายได้ทั้งลักษณะของข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว การ์ดอวยพร เป็นต้น
              
ตัวอย่างเว็บไซต์ที่ให้บริการ E-mail

           2.  สนทนาออนไลน์ (Chat)
              ในเว็บไซต์ต่างๆจะมีห้องสนทนา หรือ Chat Room เพื่อนให้ได้เข้าไปพูดคุย หรือเป็นการหาเพื่อนใหม่ การบริการนี้เป็นที่นิยมมากในหมู่วัยรุ้นซึ่งต้องการมีเพื่อนคุย เป็นการหาประสบการณ์หาความรู้ หรือแม้กระทั้งการหาเพื่อนที่รู้ใจ ก็สามารถใช้บริการนี้ได้ แต่ก็มีข่าวมากมายของการเกิดอาชญากรรมที่เนื่องมาจากการไปพบเพื่อนใหม่ซึ่งรู้จักจากการใช้บริการสนทนาออนไลน์(Chat Room)
              การสนทนาออนไลน์(Chat) เป็นการสื่อสารด้วยข้อความ โดยการพิมพ์ข้อความตอบโต้กันได้ทันที และสามารถสนทนากับหลายๆคนในเวลาเดียวกัน

ตัวอย่างเว็บไซต์ที่ให้บริการ Chat Room

          3. การสนทนาด้วยภาพและเสียง
                นอกจากวิธีการสนทนาออนไลน์ (Chat) ที่เป็นการพิมพ์ข้อความโตตอบกันแล้วนั้นยังมีบริการที่สามารถพูดคุยเสมือนกับการใช้โทรศัพท์พูดคุยกันทั่วๆไป แต่วิธีการสนทนาชนิดนี้จะต้องมีอุปกรณ์เพิ่มขึ้นมา เพื่อนเป็นการถ่ายทอดภาพและเสียง ให้คู่สนทนาสามารถสื่อสารกันได้ คือ การใช้ไมโครโฟนติดตั้งที่เครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อนเป็นอุปกรณ์ถ่ายทอดเสียง และการใช้กล้องติดตั้งที่เครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อเป็นอุปกรณ์ในการถ่ายทอดภาพ
               รูปแบบการสนทนาชนิดนี้ เราไม่ต้องเสียค่าบริการโทรศัพท์ในการพูดคุย เพราะเราไม่ได้ใช้บริการขององค์การโทรศัพท์ แต่เป็นการใช้บริการจากอินเทอร์เน็ตแทน จะสะดวกและประหยัดถ้าเราต้องการที่จะพูดคุยกะเพื่อน หรือครอบครัวที่อยู่ห่างไกลกัน ทำให้ได้ยินทั้งเสียงและเห็นทั้งภาพของคู่สนทนา

ตัวอย่างเว็บไซต์ที่ให้บริการการสนทนาด้วยภาพและเสียง


          4. กระดานข่าว (Bulletin Board System : BBS)
                เป็นบริการเสมือนบอร์ดข่าวสารที่ผู้ใช้สามารถที่จะเข้าไปแลกเปลี่ยนชข้อมูลข่าวสารหรือความคิดเห็นกันได้ โดยมีหัวข้อเรื่องให้เลือกตามความสนใจของแต่ล่ะบุคคล เปรียบเสมือนเวทีแสดงความคิดเห็นเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับผู้อื่นได้ทั่วโลก ที่เรียกว่า "กลุ่มข่าว" (Newsgroup)
ตัวอย่างเว็บไซต์ที่ให้บริการกระดานข่าว

         5. การส่ง SMS เข้ามือถือ
              SMS : Short Message คือ การส่งข้อความเข้าไปยังเครื่องโทรศัพท์มือถือ ก็คืออีกรูปแบบหนึ่งของการสื่อสารในยุคของอินเทอร์เน็ต


การศึกษา
          การท่องอินเทอร์เน็ตก็คือ การเดินเข้าไปยังห้องสมุดขนาดใหญ่ที่ทีข้อมูลข่าวสารมากมายให้เราได้เข้าไปค้นหา อินเทอร์เน็ตจิงมีความสำคัญมากในโลกของการศึกษาในยุคปัจจุบันเพราะการค้นคว้าคือหัวใจของการศึกษาหาความรู้ ซึ่งบางครั้งข้อมูลต่างๆ ที่เราค้นหาได้มาจากห้องสมุดนั้นยังอาจไม่เพียงพอ ก็สามารถเข้าไปใช้บริการของอินเทอร์เน็ตเพื่อท่องเข้าไปในห้องสมุดขนาดใหญ่ที่มีอยู่ทั่วโลก ทำให้เราได้ข้อมูลที่มากมายและทันสมัย โดยที่เราไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทางไปยังห้องสมุดต่างๆ เหล่านั้น ก็สามารถที่จะหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
              สถาบันการศึกษาต่างๆ ก็ได้จัดทำเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร หลักสูตรกิจกรรม แม้กระทั้งการให้บริการทางการศึกษาแก่บุคคลทั่วไป จะทำให้การรับรู้ข้อมูลข่าวสารทำได้อย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยไม่จำกัดขอบเขตการรับรู้ข้อมูลเฉพาะกลุ่มบุคคลเท่านั้น
             อินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทในด้านการศึกษาอย่างมากมาย แม้กระทั่งการแจ้งข้อมูลข่าวสาร การส่งงานของนักศึกษากับอาจารย์ ก็จะผ่านทางอินเทอร์เน็ตซึ่งมีการบริการหลายรูปแบบ เช่น

             1. การเรียนการสอนทางไกล (Distance Learning)
                 เป็นรูปแบบการเรียนการสอนผ่านทางอินเทอร์เน็ต จะมีมหาวิทยาลัยในต่างประเทศที่ได้จัดตั้งรูปแบบการสอนชนิดนี้ขึ้นมา เพื่อให้บริการแกนักศึกษาที่อยูต่างประเทศได้มีโอกาสเข้าศึกาาในมหาวิทยาลัยโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเรียนยังมหาวิทยาลัยโดยตรง แต่สามารถเรียน พูดคุยกับอาจารย์ ส่งงาน รวมทั้งการสอบ ผ่านทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งการเรียนการสอนทางไกล จัดว่าเป็นระบบการศึกษารูปแบบใหม่

            2. บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ (E-Learning)
                บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ มีประโยชน์ในการเข้าไปค้นคว้า หรือศึกษาเพิ่มเติม หรือแม้กระทั่งการเรียนซ้ำนอกเหนือจากภายในห้องเรียนแล้ว หรือการเรียนในเนื้อหาที่สนใจ แต่สามารถเรียนได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือต้องการเรียนเมื่อไรก็สามารถที่จะทำได้

           3. ห้องสมุดเสมือน (Virtual Library)
               เพื่อให้ผู้เรียนได้เข้าไปค้นหาข้อมูล บทความ ข่าวสาร ที่สนใจ โดยผ่านทางเครือข่ายอินยเทอร์เน็ต เป็นวิธีการที่สามารถเข้าไปถึงข้อมูลได้จากหลากหลายแหล่งข้อมูลทั่งโลก


การทำธุรกิจออนไลน์ (E-Commerce)
              เมื่ออินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันในกลุ่มคนจำนวนมากในโลก ซึ่งได้ใช้บริการต่างๆ ที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต ก็จะมีรบริการ ซื่อ - ขาย สินค้าบนอินเทอร์เน็ต นับเป็นการบริการอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยม และปัจจุบันก็ได้ขยายระบบการค้าอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นระบบการค้า หรือการตั้งร้านค้าบนอินเทอร์เน็ต โดยไม่จำเป็นที่จะต้อมมีเงินลงทุนสูง ไม่จำเป็นที่จะต้องมีสถานที่ และไม่จะเป็นที่จะต้องใช้พนักงานในการดำเนินงาน ก็สามารถเปิดการค้าบนอินเทอรืเน็ตได้

ข่าวสารประจำวัน
          ปัจจุบันเราสามารถอ่านข่าวสารได้จากอินเทอร์เน็ต เนื่องจากหนังสือพิมพ์และสำนักข่าวต่างๆ ได้นำเสนอข่าวสารทั้งรายวัน รายสัปดาห์ ผ่านทางสื่ออินเทอร์เน็ต ทำให้ผู้ใช้บริการมีความสะดวกในการติดตามข่าวสาร

การท่องเที่ยว
             การท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เราสามารถค้นหารายละเอียดในการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่ โรงแรม ร้านอาการ บริษัทนำเที่ยว หรือเส้นทางในการเดินทาง แผนที่ สายการบิน สถานีขนส่ง ทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถค้นหาได้จากเว็บไซต์มากมายทำให้สามารถวางแผนในการเดินทางได้สะดวกและถูกต้อง

ความรู้ด้านสุขภาพ
         ปัญหาด้านสุขภาพเป็นปัญหาสำคัญในการดำรงชีวิต ในปัจจุบันนี้ก็มีเว็บไซต์มากมายที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคเอดส์ เป็นต้น โรงพยาบาลต่างๆ ก็นำนานาสาระด้านสุขภาพและเผยแพร่ข้อมูลความรู้ด้านวิชาการ รวมถึงการตอบปัญหาด้านสุขภาพ ก็สามารถดำเนินการผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้

ความบันเทิง
            ความบันเทิงบนอินเทอร์เน็ตสามารถหาได้มากมาย ทั้งดูหนัง ฟังเพลง คาราโอเกะ สถานีวิทยุออนไลน์ เรื่องราวข่าวสารในวงการบันเทิงทั่วโลก เว็บไซต์ของภาพยนต์ และโรงภาพยนต์ รวมถึงการจองตั๋วชมภาพยนต์ผ่านทางอินเทอร์เน็ต ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน แม้แต่การเล่นเกมส์ออนไลน์ การตรวจดวงชะตาราศี หรือการดูข้อมูลรายการบันเทิงที่สามารถหาได้อย่างง่ายดายบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

การสมัครงาน
         วิธีการหางานในอดีตนั้นต้องซื้อหนังสือพิมพ์ที่เกี่ยวกับการสมัครงาน หรือการติดประกาศต่างๆ แต่ในยุคปัจจุบันมีเว็บไซต์ที่ให้บริการด้านการสมัครงาน โดยรวบรวมตำแหน่งงานวางไว้ให้เลือกตามความรู้ความสามารถของแต่ละบุคคล และทางบริษัทก็สามารถที่จะสมัครงานผ่านทางอินเทอร์เน็ตไดเโดยไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทางไปสมัครงานด้วยตนเอง

ธุรกรรมด้านธนาคารและการลงทุน
          ถ้าต้องการลงทุนในกิจกรรมใดก็ตามสามารถที่จะสอบถามข้อมูลของการลงทุน แหล่งเงินทุน ซึ่งมีธนาคารมากมายที่จัดทำเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อนให้บริการข้อมูลแก่ประชาชน จะเป็นการนำข้อมูลไปใช้ในการตัดสินใจ และสามารถตรวจสอบเปรียบเทียบข้อมูลของแต่ละธนาคารได้ก่อนที่จะเข้าไปทำธุรกรรมต่างๆ รวมถึงการดำเนนการประมูลทรัพย์สินผ่านทางธนาคาร ก็จะสามารถตรวจสอบรายละเอียดของทรัพย์สินก่อน เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจประมูลสินค้าชนิดนั้นๆ ได้ นี่คืออีกแนวทางในการใช้บริการบนอินเทอร์เน็ต

บริการอื่นๆ
          ยังมีบริการที่ได้รับความนิยมอีกมากมาย เช่น แฟชั่น การเมือง ศาสนา ดาราศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม กฬา เป็นต้น
         

ประโยชน์และโทษของอินเทอร์เน็ต
[internet.jpg]
          อินเทอรืเน็ตเป็นเทคโนโลยีในการสื่อสารที่เอื้ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการ แต่เป็นลักษณะของการสื่อสารที่ผ่านทางคอมพิวเตอร์ และช่องทางการสื่อสารชนิดต่างๆ ไม่ได้เป็นการสื่อสารจากบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลหนึ่งโดยตรง จึงทำให้เกิดทั้งประโยชน์และโทษในการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตได้

ประโยชน์ของอินเทอร์เน็ต
          1. สามารถติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นได้ทั่วโลก
          2. สามารถค้นหาข้อมูลต่างๆ ได้ เสมือนกับเราได้เข้าไปนั่งในห้องสมุดขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลมากมายจากทั่วทุกมุมโลก ให้สามารถเลือกได้ตามความต้องการ
          3. เปรียบเสมือนเวทีให้เข้าไปแสดงความคิดเห็นได้ภายในห้องสนทนา (Chat Room) และกระดานข่าว (Web Board) เป็นการเปิดโลกกว้าง และวิสัยทัศน์ในเรื่องที่สนใจ
          4. สามารถติดต่อความเคลื่อนไหว ข่าวสาร จากทั่วโลกด้อย่างรวดเร็ว
          5. สามารถเปิดการค้าได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องหาสถานที่จัดตั้งร้านและพนักงานบริการแต่สามารถทำการค้าได้ด้วยตนเองคนเดียว และสามารถเปิดการขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง
          6.สามารถซื้อสินค้าโดยไม่ต้องเดินทางไปยังร้านค้า แต่สามารถสั่งซื้อผ่านทางเว็บไซต์ให้บริการ การชำระเงินก็สะดวก เช่น ชำระผ่านทางบัตรเครดิต การหักเงินผ่านธนาคาร และทางไปรษณีย์
          7. สามารถรับ-ส่ง จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โดยเป็นการส่งจดหมายที่ไม่ต้องเสียค่าบริการ และสามารถรับ-ส่ง จดหมาย ได้ทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ นอกจากจดหมายที่เป็นข้อความแล้ว ยังสามารถส่งบัตรอวยพรในเทศกาลต่างๆได้อีก โดยไม่ต้องเสียเงินในการซื้อบัตรอวยพร
         8. สามารถอ่านนิตยสาร หนังสือพิมพ์ บทความ และเรื่องราวต่างๆ ได้ฟรี เหมือนกับเราซื้อหนังสือฉบับนั้นมาอ่านเอง
         9. สามารถติดประกาศข้อความต่างๆ ที่ต้องการประกาศให้ผู้อื่นได้ทราบ เช่น ประกาศขายบ้าน ประกาศรับสมัครงาน ประกาศขอความช่วยเหลือ เป็นต้น
         10. มีบริการฟรีอีกมากมายที่สามารถใช้ได้จากอินเทอร์เน็ต เช่น รูปภาพ เพลง ภาพเคลื่อนไหว โปรแกรมคอมพิวเตอร์ พื้นที่สำหรับสร้างเว็ยไซต์ ดูหนัง เกม เป็นต้น


โทษของอินเทอร์เน็ต
         1. อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายขนานใหญ่ที่มีผู้คนมากมายได้เข้าไปใช้บริการ เป็นเวทีที่เปิดกว้างและให้อิสระกับทุกคนได้เข้ามาเขียนข้อมูล หรือติดประกาศต่างๆ โดยปราศจากการกลั่นกรองที่ดี ทำให้ข้อมูลที่ได้รับไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นข้อมูลที่เป็นความจริงหรือไม่
             2. เกิดปัญหาของการละเมิดลิขสิทธิ์ เช่น การดาวน์โหลดเพลง หรือรูปภาพ มารวบรวมขาย หรือที่เป็นปัญหาอย่างยิ่งคือ การตัดต่อรูปภาพบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียง ให้กลายเป็นภาพที่ส่อในทางอนาจารมาเผยแพร่ ทำให้บุคคลเหล่านั้นเสียหาย
             3. ก่อให้เกิดปัญหาด้านอาชญากรรมจากการเล่นอินเทอร์เน็ต เช่น การล่อลวงหญิงไปในทางที่มิดี โดยรู้จักกันผ่านทางอินเทอร์เน็ต การก่อคดีข่มขืน เนื่องจากเว็บไซต์โป๊
             4. ก่อให้เกิดปัญหาการหมกมุ่นของเยาวชนที่เข้าไปในเว็บไซต์ที่ไม่มีประโยชน์ จดทำให้เกิด "โรคติดอินเทอร์เน็ต" (Webaholic) ซึ่งทำให้เกิดอันตรายต่อตนเองและสังคม

โรคติดอินเทอร์เน็ต        
       โรคติดอินเทอร์เน็ต (Webaholic) เป็นอาการทางจิตประเภทหนึ่ง ซึ่งนักจิตวิทยาชื่อ Kimberly S Young ได้ศึกษาและวิเคราะห์ไว้ว่า บุคคลใดที่มีอาการดังต่อไปนี้ อย่างน้อย 4 ประการ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี แสดงว่าเป็นอาการติดอินเทอร์เน็ต
         - รู้สึกหมกมุ่นกับอินเทอร์เน็ต แม้ในเวลาที่ไม่ได้ต่อเข้าระบบอินเทอร์เน็ต
         - มีความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้นอยู่เรื่อยๆ ไม่สามารถควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตได้
         - รู้สึกหงุดหงิดเมื่อใช้อินเทอร์เน็ตน้อยลง หรือหยุดใช้
         - คิดว่าเมื่อใช้อินเทอร์เน็ตแล้ว ทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น
         - ใช้อินเทอร์เน็ตในการหลีกเลี่ยงปัญหา
         - หลอกคนในครอบครัว หรือเพื่อน เรื่องการใช้อินเทอร์เน็ตของตนเอง
         - มีอาการผิดปกติเมื่อเลิกใช้อินเทอร์เน็ต เช่น หดหู่ กระวนกระวาย
        ซึ่งอาการดังกล่าว ถ้ามีมากกว่า 4 ประการในช่วง 1 ปี จะถือว่าเป็นอาการติดอินเทอร์เน็ต ซึ่งส่งผลเสียต่อระบบร่างกาย
ทั้งการกิน การขับถ่าย และกระทบต่อการเรียน สภาพสังคมของคนๆ นั้นต่อไป
 

         เทคโนโลยีที่ทันสมัย แม้จะช่วยอำนวยความสะดวกได้มากเพียงใดก็ตาม สิ่งที่ต้องยอมรับความจริงก็คือ เทคโนโลยีทุกอย่างมีจุดเด่นและข้อด้อยของตนทั้งสิ้น ทั้งที่มาจากตัวเทคโนโลยีเอง และมาจากปัญหาอื่นๆ เช่น บุคคลที่มีจุดประสงค์ร้าย ในโลก cyberspace อาชญากรรมคอมพิวเตอร์เป็นปัญหาหลักที่นับว่ายิ่งมีความรุนแรง เพิ่มมากขึ้น ประมาณกันว่ามีถึง 230% ในช่วงปี 2002 และแหล่งที่เป็นจุดโจมตีมากที่สุดก็คือ อินเทอร์เน็ต นับว่ารุนแรงกว่าปัญหาไวรัสคอมพิวเตอร์เสียด้วยซ้ำ หน่วยงานทุกหน่วยงานที่นำไอทีมาใช้งาน จึงต้องตระหนักในปัญหานี้เป็นอย่างยิ่ง จำเป็นต้องลงทุนด้านบุคลากรที่มีความ
เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัย ระบบซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพ การวางแผน ติดตาม และประเมินผลที่ต้องกระทำอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง
         แต่ไม่ว่าจะมีการป้องกันดีเพียงใด ปัญหาการโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ก็มีอยู่เรื่อยๆ ทั้งนี้ระบบการโจมตีที่พบบ่อยๆ ได้แก่
- Hacker & Cracker อาชญากรที่ได้รับการยอมรับว่ามีผลกระทบต่อสังคมไอทีเป็นอย่างยิ่ง
         - บุคลากรในองค์กร หน่วยงานใดที่ไล่พนักงานออกจากงานอาจสร้างความไม่พึงพอใจให้กับพนักงานจนมาก่อปัญหาอาชญากรรมได้เช่นกัน
         - Buffer overflow เป็นรูปแบบการโจมตีที่ง่ายที่สุด แต่ทำอันตรายให้กับระบบได้มากที่สุด โดยอาชญากรจะอาศัย
ช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการ และขีดจำกัดของทรัพยากรระบบมาใช้ในการจู่โจม การส่งคำสั่งให้เครื่องแม่ข่ายเป็นปริมาณมากๆ ในเวลาเดียวกัน ซึ่งส่งผลให้เครื่องไม่สามารถรันงานได้ตามปกติ หน่วยความจำไม่เพียงพอ จนกระทั่งเกิดการแฮงค์ของระบบ เช่นการสร้างฟอร์มรับส่งเมล์ที่ไม่ได้ป้องกัน ผู้ไม่ประสงค์อาจจะใช้ฟอร์มนั้นในการส่งข้อมูลกระหน่ำระบบได้
         - Backdoors นักพัฒนาเกือบทุกราย มักสร้างระบบ Backdoors เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงาน ซึ่งหากอาชญากรรู้เท่าทัน ก็สามารถใช้ประโยชน์จาก Backdoors นั้นได้เช่นกัน
         - CGI Script ภาษาคอมพิวเตอร์ที่นิยมมากในการพัฒนาเว็บเซอร์วิส มักเป็นช่องโหว่รุนแรงอีกทางหนึ่งได้เช่นกัน
         - Hidden HTML การสร้างฟอร์มด้วยภาษา HTML และสร้างฟิลด์เก็บรหัสแบบ Hidden ย่อมเป็นช่องทางที่อำนวยความสะดวกให้กับอาชญากรได้เป็นอย่างดี โดยการเปิดดูรหัสคำสั่ง (Source Code) ก็สามารถตรวจสอบและนำมา
ใช้งานได้ทันที
         - Failing to Update การประกาศจุดอ่อนของซอฟต์แวร์ เพื่อให้ผู้ใช้นำไปปรับปรุงเป็นทางหนึ่งที่อาชญากร นำไป
จู่โจมระบบที่ใช้ซอฟต์แวร์นั้นๆ ได้เช่นกัน เพราะกว่าที่เจ้าของเว็บไซต์ หรือระบบ จะทำการปรับปรุง (Updated) ซอตฟ์แวร์ที่มีช่องโหว่นั้น ก็สายเกินไปเสียแล้ว
         - Illegal Browsing ธุรกรรมทางอินเทอร์เน็ต ย่อมหนีไม่พ้นการส่งค่าผ่านทางบราวเซอร์ แม้กระทั่งรหัสผ่านต่างๆ ซึ่งบราวเซอร์บางรุ่น หรือรุ่นเก่าๆ ย่อมไม่มีความสามารถในการเข้ารหัส หรือป้องกันการเรียกดูข้อมูล นี่ก็เป็นอีกจุดอ่อนของธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ได้เช่นกัน
         - Malicious scripts จะมีการเขียนโปรแกรมไว้ในเว็บไซต์ แล้วผู้ใช้เรียกเว็บไซต์ดูบนเครื่องของตน อย่างมั่นใจ
หรือว่าไม่เจอปัญหาอะไร อาชญากรอาจจะเขียนโปรแกรมแฝงในเอกสารเว็บ เมื่อถูกเรียก โปรแกรมนั้นจะถูกดึงไปประมวลผลฝั่งไคลน์เอ็นต์ และทำงานตามที่กำหนดไว้อย่างง่ายดาย โดยที่ผู้ใช้จะไม่ทราบว่าตนเองเป็นผู้สั่งรันโปรแกรมนั้นเอง
         - Poison cookies ขนมหวานอิเล็กทรอนิกส์ ที่เก็บข้อมูลต่างๆ ตามแต่จะกำหนด จะถูกเรียกทำงานทันทีเมื่อมีการเรียกดูเว็บไซต์ที่บรรจุคุกกี้ชิ้นนี้ และไม่ยากอีกเช่นกันที่จะเขียนโปรแกรมแฝงอีกชิ้น ให้ส่งคุกกี้ที่บันทึกข้อมูลต่างๆ ของผู้ใช้ส่งกลับไปยังอาชญากร
         - ไวรัสคอมพิวเตอร์ ภัยร้ายสำหรับหน่วยงานที่ใช้ไอทีตั้งแต่เริ่มแรก และดำรงอยู่อย่างอมตะตลอดกาล ในปี 2001
พบว่าไวรัส Nimda ได้สร้างความเสียหายได้สูงสุด เป็นมูลค่าถึง 25,400 ล้าบบาท ในทั่วโลก ตามด้วย Code Red, Sircam, LoveBug, Melissa ตามลำดับที่ไม่หย่อนกว่ากัน
         ปัญหาของโลกไอที มีหลากหลายมาก การทำนายผลกระทบที่มีข้อมูลอ้างอิงอย่างพอเพียง การมีทีมงานที่มีประสิทธิภาพ การวางแผน ติดตาม ประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ คงจะช่วยให้รอดพ้นปัญหานี้ได้บ้าง



บัญญัติ 10 ประการ สำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ต
 ยืน ภู่วรวรรณ ได้กล่าวถึงบัญญัติ 10 ประการ ซึ่งเป็นจรรยาบรรณที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตยึดถือไว้เสมือนเป็นแม่บทของการปฏิบัติ    ผู้ใช้พึงระลึกและเตือนความจำเสมอ
     1. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้าย หรือละเมิดผู้อื่น
     2. ต้องไม่รบกวนการทำงานของผู้อื่น
     3. ต้องไม่สอดแนม แก้ไข หรือเปิดดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
     4. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร
     5. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ
     6. ต้องไม่คัดลอกโปรแกรมของผู้อื่่นมีลิขสิทธิ์
     7. ต้องไม่ละเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์
     8. ต้องไม่นำเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน
     9. ต้องคำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมอันติดตามมาจากการกระทำของท่าน
    10. ต้องใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฏระเบียบ กติกา และมีมารยาท
           
             
หน่วยงานที่มีบทบาทในอินเทอร์เน็ตของประเทศไทย

หน่วยที่มีบทบาทสำคัญต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของประเทศไทย ได้แก่
                1. การสื่อสารแห่งประเทศไทย ในฐานะผู้ผูกขาดบริการวงจรสื่อสารระหว่าประเทศ ผู้ให้ใบอนุญาต และถอดถอนสิทธิการให้บริการของบริษัทที่ให้บริการด้านอินเทอร์เน็ต (Internet Service Provider) รวมทั้งเป็นหุ้นส่วนของ ISP ทุกราย รวมทั้งเป็นผู้ให้บริการจุดแลกเปลี่ยนสัญญาณภายในประเทศ
                2. ISP – Internet Service Provider หรือผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ทั้ง 17 ราย (พ. 2545) ในฐานะผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่บุคคลและองค์กรต่างๆ
                3. ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแบบไม่หวังกำไร เช่น SchoolNet ที่ให้บริการโรงเรียนต่างๆทั่วประเทศ ThaiSarn ผู้ให้บริการทางวิจัยสำหรับสถานศึกษา UniNet เครือข่ายของทบวง มหาวิทยาลัย EdNet เครือข่ายของกระทรวงศึกษาธิการ และ GlNet เครือข่ายรัฐบาล
                4. THNIC ในฐานะผู้ให้บริการจดทะเบียนชื่อโดเมนสัญชาติไทย (.th) และผู้ดูแลระบบบริการสอบถามชื่อโดเมนสัญชาติไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การดูแลของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT)
                5. NECTEC หรือ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ในฐานะหน่วยงานวิจัย ค้นคว้า และพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูล และในฐานะผู้ให้บริการจุดแลกเปลี่ยนสัญญาณภายในประเทศ ผู้ดูแลเครือข่าย ThaiSarn SchoolNet GlNet และในฐานะคณะอนุกรรมการด้านนโยบายอินเทอร์เน็ตสำหรับประเทศไทย
                6. ผู้ให้บริการวงจรสื่อสารภายในประเทศ ซึ่งมีหลายราย เช่น การสื่อสารแห่งประเทศไทย  บริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทเอกชนอื่นๆ
แนวโน้มการใช้อินเทอร์เน็ต
ในอนาคตอินเทอร์เน็ตจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้น เพราะเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในการทำงาน เพื่อทำให้งานเกิดประสิทธิภาพ
                ประเทศไทยได้มองเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ จึงตั้งกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ทำหน้าที่ดูแลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และออกกฎหมายรองรับการทำงาน และระเบียบวิธีในการปฏิบัติงานบนอินเทอร์เน็ต เพื่อเป็นการป้องกันสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ใช้งาน นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้หน่วยงานราชการ จัดทำรูปแบบของ E-Government เพื่อนให้ข้อมูลข่าวสาร และให้บริการแก่ประชาชน เช่น การคำนวณและชำระภาษีออนไลน์ของกรมสรรพกร งานบริการค้นทะเบียนของกระทรวงมหาดไทย และส่งเสริมให้ประชาชน นักเรียน นักศึกษา ให้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศให้มากขึ้น
                แนวโน้มการลงทุนด้านธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตได้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีปริมาณคนเข้าไปใช้บริการอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นทุกวินาที และการแข่งขันทางด้านการค้าเกิดขึ้นสูง จึงต้องพยายามหาวิธีเข้าถึงประชาชน เป็ฯการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การจองตั๋วเครื่องบิน การซื้อขายหุ้นธนาคารออนไลน์ การซื้อ-ขาย สินค้า เป็นต้น
                อินเทอร์เน็ตจึงเป็นการขยายโอกาสทางการค้าให้กับธุรกิจด้านต่างๆ ที่มิได้มีการซื้อ-ขายสินค้าเฉพาะภายในประเทศ แต่สามารถขยายการค้าได้ทั่วโลก โดยผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต


แบบฝึกหัดบทที่ 1

1. อินเทอร์เน็ตย่อมาจาก
       ก. Inter Network Connection
       ข. Inter Computer Network
       ค. Inter Computer Online
       ง. Inter Connection Network

2. บทบัญญัติของการใช้อินเทอร์เน็ตมีกี่ประการ
        ก. 5
       ข10
       ค. 15
       ง20

3. ความหมายของอินเทอร์เน็ต คือ
       ก. เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ สามารถติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้อย่างรวดเร็วทั่วโลก
       ข. เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้สาย LAN ในการเชื่อมต่อ
       ค. เป็นการสื่อสารโดยใช้ ภาพ เสียง เท่านั้น
       ง. ใช้สำหรับการทำงาน ระหว่างประเทศ  

4.  มาตรฐานในการสื่อสารภายในระบบเครือข่าย  เรียกว่าอะไร
         ก.  Protocol
         ข.  Process
         ค.  Multifunction
         ง.   Lan  Network 
        
5. เครือข่ายอาร์พาเน็ต ได้เชื่อมกับมหาวิทยาลัยเมื่อปี พ.ศ.ใด
       ก. พ.ศ. 2511
       ข. พ.ศ. 2512
       ค. พ.ศ. 2513
       ง. พ.ศ. 2514

6. การสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ตมีด้านอะไรบ้าง
         ก. การติดต่อสื่อสาร
            ข. การศึกษา
            ค. การทำธุรกิจออนไลน์
            ง. ถูกทุกข้อ


7. การสื่อสารแบบใดที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการใช้งานอินเทอร์เน็ต
       ก. การอ่านหนังสือพิมพ์ นิตยสาร บาทความ
       ข. ส่งงาน หรือข่าวสาร ผ่านทาง E-mail
       ค. ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม
       ง. ถูกทุกต้อง

9. ใครเป็นบุคคลแรกที่ใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์รายแรกของประเทศไทย
         ก. อาจารย์กันนิกา   กลิ่นจันทร์
        ข. อาจารย์สุภาวินี   พรมมา
        ค. อาจารย์กาญจนา   กาญจนสุต
        ง. อาจารย์สาวิตรี    จิตอาสา


10. ความหมายของ คำว่า MILNET คือ
       ก. เป็นเครือข่ายใช้ดำเนินงานด้านทหารเพียงอย่างเดียว
       ข. เป็นเครือข่ายใช้ดำเนินงานด้านราชการเพียงอย่างเดียว
       ค. เป็นเครือข่ายใช้ดำเนินงานด้านตำรวจกับราชการเท่านั้น
       ง. ไม่มีข้อถูก

เฉลย 1.ง  2.ก  3.ก  4.ก  5.ข  6.ง  7.ง  8.ค  9.ค  10.ก



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น