การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
เมื่อได้ทราบถึงประวัติความเป็นมา รวมทั้งความหมายของอินเทอร์เน็ตแล้ว ถ้าเราต้องการที่จะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อใช้งาน เราจะต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง นอกจากสิ่งที่เรามองเห็น คือเครื่องคอมพิวเตอร์ ฉะนั้น เราจะต้องทราบถึงอุปกรณ์ วิธีการเชื่อมต่อ และการพิจารณาผู้ให้บริการด้านอินเทอร์เน็ต เพื่อสมัครเป็นสมาชิกในการใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งทุกอย่างจะเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเชื่อมต่อเพื่อใช้งานในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยจะแสดงขั้นตอนและวิธีการในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสำหรับการใช้งานภายในบ้าน ซึ่งเราจะต้องเป็นบุคคลที่จะต้องจัดหาอุปกรณ์ทุกอย่างด้วยตนเอง เพื่อทำให้สามารถเลือกอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้งานได้อย่างถูกต้องซึ่งจะแตกต่างกับวิธีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจากหน่วยงาน เพราะเราจะเป็นเพียงผู้ใช้เท่านั้นโดยไม่จำเป็นจะต้องดำเนินการติดตั้ง หรือเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ใดๆทั้งสิ้น
การปรับแต่งคอมพิวเตอร์สำหรับการใช้งานอินเทอร์เน็ต
สำหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อใช้งานภายในบ้าน จำเป็นจะต้องมีส่วนประกอบสำคัญที่จะสามารถเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้กับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต เพราะการใช้งานอินเทอร์เน็ตนั้น จะต้องเกิดการเชื่อมต่อของทั่งสองฝั่งก่อนจึงจะสามารถใช้งานได้ ซึ่งจะประกอบด้วยส่วนประกอบที่สำคัญ ดังต่อไปนี้
1. อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
2. โมเด็ม (Modem)
3. โปรแกรมสำหรับการใช้งานอินเทอร์เน็ต
4. วิธีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
5. การเลือกผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP)
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
1. เมนบอร์ด (Mainboard) เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ควรมีประสิทธิภาพสูงพอสมควร ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานทั่วไป จะมีซีพียูรุ่น Celeron, Pentium IV และ AMD ซึ่งซีพียูเหล่านี้จะสนับสนุนการใช้งานเพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และซีพียูเหล่านี้จะรองรับการใช้งานระบบมัลติมีเดียด้วย ไม่ว่าจะเป็นการ์ดจอ การ์ดเสียง และลำโพง เพราะการท่องเว็บนั้นจะมีทั่งภาพเคลื่อนไหว และเสียง จึงจำเป็นต้องมีระบบมัลติมีเดียรองรับการใช้งาน เพื่อนให้สามารถท่องเว็บได้อย่างสมบูรณ์ และทำให้น่าสนใจใจขึ้น
แต่ถ้าบ้านใดมีเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว และต้องการนำเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องดิม มาทำการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตนั้น ควรตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อน โดยสำหรับขั้นต่ำสุดของซีพียูควนอยู่ในระดับ Pentium 133 MHz ขึ้นไป แต่การสนองตอบข้อมูลประเภทภาพและเสียงนั้นจะสนองตอบได้ช้ามาก
ดังนั้น เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกรุ่นที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดในขณะนี้ จะสามารถรองรับการทำงานเพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว ทำให้เราสะดวกเพราะไม่จำเป็นที่จะต้องไปหาอุปกรณ์ใดๆ เพิ่ม ก็สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้
2. หน่วยความจำแรม (RAM) การเลือกหน่วยความจำแรมจะขึ้นอยู่กับหน่วยปฏิบัติการที่ใช้ แต่อย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 64 – 128 MB แต่ในปัจจุบันระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้คือ Windows XP หน่วยความจำแรมไม่ควรต่ำกว่า 256 MB เพราะโปรแกรมที่ใช้บริการต่างๆบนอินเทอร์เน็ตจะต้องใช้หน่วยความจำมากพอสมควร
3. จอภาพและการ์ดแสดงผล จอภาพสามารถแสดงผลได้ตั้งแต่ 256 สีขึ้นไป ความละเอียดไม่ต่ำกว่า 800 × 600 pixels ซึ่งในปัจจุบันจอภาพจะสามารถแสดงได้ถึง 16 ล้านสีแล้ว ทำให้สามารถแสดงภาพได้ดีโดยเฉพาะภาพถ่าย
4. ระบบมัลติมีเดีย คือการ์ดเสียงพร้อมลำโพง หรือถ้าใช้โทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ตก็จะต้องมีไมโครโฟนด้วย และถ้าต้องการพูดคุยแบบให้เห็นหน้าทั้งสองฝ่ายก็ต้องมีกล้องวีดีโอที่มีความละเอียดต่ำ หรือที่เรียกว่า “เว็บแคม” (Webcam) ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกรุ่นจะมีให้เฉพาะการ์ดเสียง และลำโพงเท่านั้น อุปกรณ์เสริมอื่นๆ คือ ไมโครโฟน และกล้องเว็บแคม ผู้ใช้จะต้องหาเพิ่มเติมเองเมื่อต้องการใช้งาน
โมเด็ม
โมเด็ม หรือ Modem (Modulator/Demodulator) มีหน้าที่แปลงข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล ของระบบคอมพืวเตอร์ให้เป็นสัญญาณเสียงในรูปแบบแอนะล๊อก เพื่อให้สามารถส่งไปทางสายโทรศัพท์ได้ เรียกว่า การ Modulate โดยที่ปลายทางก็จะมีโมเด็มทำหน้าที่แปลงสัญญาณเสียงในรูปแบบแอนะล็อก ซึ่งรับมาจากโทรศัพท์ให้กลับมาเป็นข้อมูลแบบดิจิทัล เพื่อใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ เรียนกว่า การ Demodulate
1. โมเด็มแบบภายใน (Internal) มีลักษณะเป็นการ์ดเสียบเข้ากับสล็อตแบบ PCI ภายในตัวเครื่องคอมพิวเตอร์
ข้อดี
1. ไม่เปลืองเนื้อที่เพราะติดตั้งภายในเครื่องคอมพิวเตอร์
2. ไม่ต้องเสียบไฟฟ้า
3. มีราคาถูก
ข้อเสีย
1. ติดตั้งยาก ต้องเปิดฝาเครื่องเพื่อติดตั้ง
2. ไม่เปลือง Serial Port ของเครื่องคอมพิวเตอร์
3. เคลื่อนย้ายไปใช้กับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้ลำบาก
4. ต้องการ ซีพียู ความเร็วสูงหรือ MMX ขึ้นไป
5. พบปัญหาต่าง ๆ ได้บ่อย เช่นสายหลุดง่าย
โมเด็มแบบภายใน (Internal)
2. โมเด็มแบบภายนอก (External) จะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อภายนอกเครื่องคอมพิวเตอร์โดยยะต่อเข้าที่ Serial Port และ USB Port ของเครื่องคอมพิวเตอร์
ข้อดี
1. ติดตั้งง่าย
2. สามารถมองเห็นการทำงานของโมเด็มได้
3. สามารถใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าได้
4. ไม่ค่อยมีปัญหาในการใช้งาน
5. สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย
ข้อเสีย
1. เปลืองเนื้อที่ในการวางโมเด็ม
2. มีราคาแพง
3. ต้องมีแหล่งจ่ายไฟและต่อสายไฟ
4. ต้องใช้ Serial Port และ USB Port ในการต่อกับโมเด็ม ทำให้เปลือง Port ที่มีไว้สำหรับนำไปต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ
โมเด็มแบบภายนอก (External)
3. โมเด็มแบบ PCMCIA (หรือที่บางทีเรียกว่า PC Card) เป็นโมเด็มที่มีขนาดเล็กและบางที่สุดในบรรดาโมเด็มชนิดต่างๆ คือมีขนาดเท่ากับบัตรเครดิตและความหนาเพียง 5มิลลิเมตรเท่านั้นและถูกออกแบบมาให้ใช้กับคอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊คโดยเฉพาะ ตัวโมเด็มจะใช้กำลังไฟฟ้าจากเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งการใช้งานคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คจะต้องมีช่องเสียบหรือสล็อตแบบ PPCMCIA Type II อยู่บนเครื่องและโหลดซอฟท์แวร์ไดรเวอร์สำหรับเรียกใช้งานคาร์ด PCMCIA ให้เรียบร้อยก่อน จากการที่ต้องโหลดซอฟท์แวร์ไดรเวอร์ก่อนการใช้งานนี่เอง ทำให้โมเด็ม PCMCIA มีขั้นตอนในการใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คมากพอสมควร ส่วนประกอบภายในของโมเด็มแบบ PCMCIA จะคล้ายๆกับโมเด็มแบบติดตั้งภายใน คือมีพอร์ตอนุกรมอยู่ในตัวและไม่มีไฟบอกสถานะการทำงานของโมเด็ม การต่อเข้ากับสายโทรศัพท์มักจะมีสายต่อพิเศษจากตัวโมเด็มต่อออกมาเป็นปลั๊กแบบ RJ11 ซึ่งเป็นปลักมาตรฐานของโทรศัพท์อีกทีหนึ่งหรือแบบเราสามารถนำสายโทรศัพท์แบบมีปลั๊ก RJ11 ต่อเข้ากับโมเด็ม PCMCIA โดยตรงได้เลย โมเด็มแบบ PCMCIAบางรุ่นสามารถใช้งานกับโทรศัพท์มือถือทั้งระบบอนาล็อก (APMS, NMT) และระบบดิจิตอล (GSM, PCN) ได้อีกด้วย เรียกว่า Cellular Modem โดยตัวโมเด็มจะมีความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสุด 33,600 bps เมื่อต่อเข้าใช้งานกับโทรศัพท์ตามบ้าน และเมื่อต่อใช้กับโทรศัพท์มือถือจะมีความเร็วในการรับส่งข้อมูลได้สูงสุดตั้งแต่ 9,600 bps, 14,400 bps ไปจนถึง 28,800 bps ขึ้นอยู่กับว่าเป็นโมเด็มรุ่นใดและต่อเข้าใช้งานกับโทรศัพท์มือถือระบบใด ทั้งยังส่งแฟ็กซ์ผ่านระบบโทรศัพท์มือถือได้อีกด้วย
โมเด็ม PCMCIA ที่รับส่งข้อมูลและแฟ็กซ์ผ่านระบบโทรศัพท์มือถือนั้นจะต้องมีขบวนการรับส่งข้อมูลพิเศษ เพื่อแก้ปัญหาคลื่นแทรกและสัญญาณรบกวนที่เกิดขึ้นในโทรศัพท์มือถือระบบต่างๆเพิ่มเติมจกากระบวนการตรวจสอบความผิดพลาดที่มีอยู่แล้ว เช่น V.42 และ MNP-4 มิฉะนั้นการรับส่งข้อมูลและแฟ็กซ์จะผิดพลาดมากจนใช้งานไม่ได้ ขบวนการรับส่งข้อมูลและแฟ็กซ์ผ่านโทรศัพท์มือถือที่ใช้การอยู่มีสองแบบคือ Radio Link Protocol (RLP) และ MNP-10EC มีการทำงานโดยแบ่งออกเป็นส่วนๆแล้วส่งออกไปให้ผู้รับ พร้อมกับตรวจสอบสภาพสัญญาณตลอดเวลา ส่วนการลดขนาดข้อมูลก่อนส่งนั้นก็ใช้มาตรฐาน V.42 bis และ MNP-5 ทั่วไปนั่นเอง ทำให้ PCMCIA โมเด็มที่รับส่งข้อมูลและแฟ็กซ์ผ่านระบบโทรศัพท์มือถือมีความเร็วสูงขึ้นและผิดพลาดน้อยลง
แต่ในปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คก็จะมีโมเด็มชนิดติดตั้งมาในตัวเครื่องอยู่แล้วและยังมีรูปแบบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย (Wireless) นอกจากนี้ยังสามารถใช้ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คอีกด้วย ในปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คยังมีช่องสำหรับการเชื่อมต่อระบบ LAN สามารถนำไปเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตภายในสำนักงานได้
โมเด็มแบบ PCMCIA
อุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย (Wireless)
มาตรฐานการสื่อสารและความเร็วในการรับส่งข้อมูลโมเด็ม
มาตรฐานการสื่อสารและความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่ใช้งานโมเด็มนั้น เป็นมาตรฐานที่มีการกำหนดคุณลักษณะของโมเด็มต่อความเร็วในการรับส่งข้อมูล โดย CCITT ( The Consultative Committee in International Telegraphy and Telephoney) ซึ่งเป็นองค์กรพัมนามาสตรฐานสากลในเรื่องของการสื่อสารข้อมูล ได้กำหนดมาตรฐานไว้ ดังนี้
ปัจจุจันมีโมเด็มมาตรฐานใหม่ คือ V.92 ได้ประกาศเมื่อกลางปี ค.ศ.2000 โมเด็มแบบนี้ไม่ต้องได้เพิ่มความเร็วในการรับข้อมูล คือ จำกัดความเร็วอยู่ที่ 56 kbps เช่นเดิม แต่ได้เพิ่มความเร็วของการส่งข้อมูลจาก 33.6 kbps ขึ้นไป 48 kbps ซึ่งมีประโยชน์สำหรับการเล่นเกมส์ออนไลน์ การอัพโหลดข้อมูล หรือการส่ง E-mail ขนาดใหญ่ เป็นต้น นอกจากนี้ยังช่วยลดเวลาในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต สามารถปรับปรุงการบีบอัดข้อมูลก่อนการทำการส่งได้ดีขึ้นกว่าเดิม และมีรูปแบบ Modem - on - hold ทำงานร่วมกับระบบพักสายของชุมสายโทรศัพท์ได้ ทำให้หยุดใช้โมเด็มชั่วคราวเพื่อทำการรับโทรศัพท์ที่เข้ามาได้ขณะที่ยังทำการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ และสามารถกลับมาใช้โมเด็มไดเเมื่อเลิกคุยโทรศัพท์
โปรแกรมสำหรับการใข้งานอินเทอร์เน็ต
1. ระบบปฏิบัติการ เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงาน ของเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ที่ต่อพ่วงกับเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อกับฮาร์ดแวร์ของเครื่องโดยตรง โปรแกรมใช้งาน หรือโปรแกรมประยุกต์ใดๆ ที่ต้องการติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องอาศัยการสั่งงานของโปรแกรมระบบ ปฏิบัติการ เพื่อควบคุมการทำงานของ เครื่องคอมพิวเตอร์โปรแกรมระบบปฏิบัติการของเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละระบบ หรือแต่ละประเภท จะมีความแตกต่างกัน เช่น โปรแกรมระบบปฏิบัติการสำหรับเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ระบบหนึ่ง ก็จะแตกต่างกับโปรแกรมระบบปฏิบัติการของ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ของระบบอื่นๆ เป็นต้น โปรแกรมระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ได้แก่ MS-DOS, UNIX, Microsoft WINDOWS 95, 98, NT, XP เป็นต้น
2. โปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ บางครั้งก็เรียกสั้น ๆ ว่าเบราเซอร์ ซึ่งก็คือโปรแกรมที่ใช้แสดงข้อมูลของเว็บเพจ โปรแกรมเว็บเบราเซอร์โปรแกรม เป็นโปรแกรมที่สั่งโดยใช้ข้อความ (text commands) และแสดงผลในรูปแบบของข้อความ (text) เท่านั้น ต่อมาในปี ค.ศ.1993 Marc Andreessen นักศึกษาของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ (University of lllinois) ได้สร้างโปรแกรมเว็บเบราเซอร์ในรูปแบบของกราฟิก เรียกว่า Mosaic ซึ่งเป็นโปรแกรม ที่สามารถแสดงเอกสารที่อยู่ในลักษณะของข้อความและภาพกราฟิกได้ การติดต่อกับผู้ใช้อยู่ในลักษณะของ GUI ทำให้การใช้งานและแสดงข้อมูล บนอินเตอร์เน็ตสะดวก ง่าย และดึงดูดใจผู้ใช้ ซึ่งต่อมา Andreessen ได้เป็นผู้หนึ่งในการก่อตั้งบริษัทที่ผลิตโปรแกรมเบราเซอร์ Netscape Navigator (Shelly Gary,1997)
โปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์มีหลายชนิด เช่น Netscape Communicator, Internet Explorer, Opera เป็นต้น แต่ที่รู้จักดีและเป็นที่นิยมใช้งานมากที่สุดคือ Internet Explorer เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ใช้ระบบปฏิบัติการของ Windows
3. โปรแกรมรับส่งจดหมายอิเล็กทรอส์ (Electronic Mail) เป็นโปรแกรมที่ใช้งานสำหรับการส่งจดหมายทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งปัจจุบันมีหลายเว็บไซต์ที่ให้บริการฟรี โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมเหล่านี้ไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ ของตนเอง เพียงแต่เข้าไปใช้บริการผ่านเว็บไซต์เหล่านั้นก็จะสามารถส่งจดหมายได้แล้ว อย่างไรก็ตาม การใช้บริการรับส่งจดหมายของบางหน่วยงานที่มีเว็บไซต์เป็นของตนเอง แล้วให้พนักงานรับส่งจดหมายผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงาน แต่ไม่มีบริการของโปรแกรมรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ในเว็บไซต์ ก็ต้องติดตั้งโปรแกรมรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ไว้ที่คอมพิวเตอร์ของตนโดยเฉพาะ แล้วรับส่งจดหมายโดยผ่านโปรแกรมเหล่านั้น ซึ่งได้แก่ Microsoft Outlook, Microsoft Exchange และ Eudora เป็นต้น
4. โปรแกรมสำหรับการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต เป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับการสื่อสารระหว่างผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตด้วยกัน ทั้งในรูปแบบของการพิมพ์ข้อความโต่ตอบ ที่เรียกว่าการ Chat รูปแบบของเสียงโดยการสนทนาผ่านไมโครโฟน และในปัจจุบันได้มีโปรแกรมสำหรับการสื่อสารโดยสามารถมองเห็นภาพ และพูดคุยด้วยเสียงระหว่างคู่สนทนาได้ เป็นการสื่อสารแบบทางไกล เช่น โปรแกรม MSN Messenger, Microsoft Chat, Microsoft NetMeeting, ICQ, Pirch, Yahoo Messenger ฯลฯ
5.โปรแกรมมัลติมีเดียบนอินเทอร์เน็ต ปัจจุบันการใช้งานบนอินเตอร์เน็ตสามารถใช้งานได้หลากหลาย ทั้งภาพและเสียง รวมทั้งภาพเคลื่อนไหว ดังนั้น เครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะใช้งานอินเตอร์เน็ตจึงต้องติดตั้งโปรแกรมประเภทนี้ไว้ เพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลประเภทมัลติมิเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปรแกรมเหล่านี้ได้แก่ Real Audio, Real Video, Windows Media Player เป็นต้น
วิธีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
วิธีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ผ่านมาจะใช้โมเด็มแบบที่หมุนโทรศัพท์ หรือที่เรียกว่า "Dial - up" เพื่อทำหน้าที่แปลงข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ในรูปแบบของดิจิทัล (Digital) ให้เป็นสัญญาณเสียงในรูปแบบแอนะล็อก (Analog) เพื่อส่งข้อมูลผ่านทางสายโทรศัพท์ ซึ่งจะถูกจำกัดความเร็วสำหรับการส่งข้อมูลอยู่ที่ 33.6 Kbps เท่านั้น (ถ้าผ่านตู้ชุมสายภายใน หรือ PABX อาจลดลงเหลือเพียง 33.6 Kbps ทั้งการรับและการส่งข้อมูล) การเชื่อมต่อในรูปแบบนี้จะเหมาะสำหรับการใช้งานส่วนบุคคล ซึ่งมีค่าใช้จ่ายและอุปกรณ์ที่มีราคาถูก หาซื้อได้ง่าย แต่ถ้าการเชื่อมต่อแบบนี้จะใช้โมเด็ม (Moden) และสายโทรศัพท์พื้นฐานภายในบ้านหรือในการเบื่ิมต่อ จึงทำให้ในขณะทำการเชื่อมต่ออินเทอรืเน็ตนั้นไม่สามารถใช้งานโทรศัพท์ในการพูดคุยได้ แต่ระบบอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันต้องการความเร็วสูงสำหรับการรับส่งข้อมูลในรูปแบบมัลติมีเดีย ถาพ เสียง วิดีโอ เช่น การดูหนัง ฟังเพลง การศึกษาทางไกล การสื่อสารระบบทางไกล เป็นต้น จึงมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อช่วยในการรับส่งข้อมูลให้เร็วขึ้น โดยใช้การรับส่งข้อมูลที่มีความถี่สูง หรือเรียกรวมกันว่า "การรับส่งข้อมูลแบบรอดแบนด์" (Broadband)
การรับส่งข้อมูลแบบบรอดแบนด์ (Broadband) คือ ระบบอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วสูงตั้งแต่ 64 kbps ขึ้นไป โดยผ่านสื่อหลากหลายรูปแบบ เพื่อทำให้สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ สื่อที่ใช้สำหรับการรับส่งข้อมูลแบบรอดแบนด์ ประกอบด้วย
1. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ ISDN (Integrated Services Digital Network)
2. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ ADSL (Asymmetric Digital Subscriber Line)
3. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบเคเบิลโมเด็ม (Cable Modem)
4. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม (Satellite)
5. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบวงจรเช่า (Leasad Line)
1. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ ISDN (Integrated Services Digital Network)
ISDN บริการเชื่อมต่อแบบหมุนโทรศัพท์ (Dial up/ISDN) บริการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต สำหรับองค์กรที่มีการใช้งานไม่มาก หรือไม่ต้องการการเชื่อมต่อตลอด 24 ชั่วโมง และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับหน่วยงานที่มีงบประมาณจำกัด เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายต่ำ ไม่ต้องมีผู้เชี่ยวชาญมาคอยดูแลรักษาระบบ เพียงท่านหมุนโทรศัพท์ (Dial Up) ผ่านโมเด็ม มายังจุดให้บริการของสบทร. ที่มีอยู่ 76 จังหวัดทั่วประเทศ ก็จะสามารถใช้บริการอินเตอร์เน็ต และเชื่อมต่อไปยังหน่วยงานย่อยต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย สื่อสารข้อมูลด้วยความเร็วสูงถึง 56 - 128 kbps
คือการบริการและการสื่อสารโทรคมนาคมระบบดิจิตอลที่สามารถรับส่งข้อมูลทั้งในระบบภาพ เสียง และข้อมูล ด้วยความเร็ว 128 Kbps ขึ้นไป ข้อดีของการใช้ ISDN คือความน่าเชื่อถือในการรับส่งข้อมูล อุปกรณ์สื่อสารของผู้ใช้บริการไม่ต้องมีการแปลงสัญญาณ (Conversion) ทำให้ความเพี้ยนของสัญญาณมีน้อยมาก ตลอดจนสิ่งรบกวน (Noise) ก็จะลดลงด้วย ทำให้ข้อมูลข่าวสารที่รับส่งในโครงข่าย ISDN มีความถูกต้องไว้ใจได้สูงกว่าแบบเดิม
ลักษณะการใช้งานเหมือนกับการหมุนโทรศัพท์ธรรมดาปกติ คือเสียครั้งละ 3 บาท ก่อนจะใช้คุณต้องหมุนโทรศัพท์ไปที่เบอร์ของ ISP ที่เป็น ISDN ด้วยจึงจะได้ความเร็วของ ISDN ตามที่กำหนด
1. แบบ BRI (Basic Rate Interface) หรือทางองค์การโทรศัพท์เขาเรียกว่า BAI (Basic Access Interface) เป็นรูปแบบการให้บริการด้วยคู่สายโทรศัพท์ธรรมดาจากชุมสาย ISDN จนถึงอุปกรณ์ปลายทาง คู่สายเพียง 1 คู่สาย สามารถที่จะรองรับอุปกรณ์ปลายทางชนิดต่าง ๆ ได้สูงสูด 8 อุปกรณ์และสามารถใช้งานได้ 2 อุปกรณ์พร้อมกันในเวลาเดียวกัน เนื่องจากภายในคู่สาย ISDN แบบ BRI นี้จะประกอบไปด้วยช่องสัญญาณ 2 ช่องโดยแต่ละช่องสามารถให้บริการด้วยความเร็ว 64 Kbps ทำให้ได้ความเร็วรวมสูงสุดถึง 128 Kbps บริการนี้เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง
2. แบบ PRI (Primary Rate Interface) เป็นรูปแบบการให้บริการโดยการวางเคเบิลแบบไฟเบอร์ออฟติคไปยังตู้สาขาแบบ ISDN (ISDN PABX) ของผู้เช่าเคเบิลเส้นหนึ่งจะช่องสัญญาณอยู่ 30 ช่อง แต่ละช่องให้บริการด้วยความเร็ว 64 Kbps ซึ่งแต่ละช่องสามารถที่จะรวมสัญญาณเข้าด้วยกันทำให้ได้ความเร็วรวมสูงสุด คือ 2.048 Mbps บริการนี้เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่
อุปกรณ์ที่ใช้
1. คอมพิวเตอร์
2. ISDN Modem (Terminal Adapter/TA) ใช้สำหรับแปลงสัญญาณเพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์แบบเดิม เช่น โทรศัพท์พื้นฐานเข้ากับ NT (Network Terminal) และทำหน้าที่เป็น ISDN Modem ที่มีความเร็ว 64-128 kbps หรือ ISDN Router สำหรับการเชื่อมต่อระบบ LAN ISDN
3. คู่สายโทรศัพท์ระบบ ISDN
4. Network Terminal (NT) ใช้สำหรับต่อสายจากโครงข่าย ISDN เข้ากับอุปกรณ์ดิจิทัลสำหรับระบบ ISDN โดยเฉพาะ เช่น เครื่องโทรศัพท์ดิจิทัล แฟกซ์ดิจิทัล และโทรศัพท์ภาพ (Videophone)
5. LAN และ Hub สำหรับระบบ LAN ISDN
ประโยชน์ของการใช้ระบบ ISDN
1. ความน่าเชื่อถือในการับส่งข้อมูลข่าวสารปกติในการสื่อสารผ่านคู่สายโทรศัพท์ในระยะทางไกลจะเกิดจากสัญญาณรบกวน(Noise)ในสายโทรศัพท์ ทำให้ข้อมูลข่าวสารที่ส่งไปเกิดความเพี้ยน (Distortion) โดยเฉพาะการใช้งานผ่านระบบโทรศัพท์ระบบธรรมดาที่ใช้ส่งด้วยสัญญาณอนาล็อกเพราะเมื่อสัญญาณเกิดความเพี้ยนแล้ว ตรวจสอบหาค่าที่ถูกต้องได้ยาก การรับส่งข้อมูลข่าวสารผ่านระบบโทรศัพท์ธรรมดาจึงมักเกิดปัญหาในการใช้งานแต่เนื่องจากระบบ ISDN เป็นระบบการสื่อสารด้วยสัญญาณดิจิตอลทั้งระบบ (End-to-EndDigital) ซึ่งระบบดิจิตอลเป็นระบบที่ไม่ Sensitiveต่อสัญญาณรบกวน และถึงแม้จะมีสัญญาณรบกวนในคู่สายโทรศัพท์ทำให้ค่าเกิดความเพี้ยนบ้าง แต่ระบบดิจิตอลก็ยังสามารถตรวจสอบค่าที่ถูกต้อง
ที่ปลายทางได้ง่ายกว่าระบบที่สื่อสารด้วยสัญญาณอนาล็อกทำให้ข้อมูลข่าวสารที่ส่งผ่านระบบ ISDN จะไปถึงปลายทางด้วยความถูกต้อง ชัดเจนครบถ้วน สมบูรณ์ ดีกว่าการใช้งานผ่านคู่สายระบบโทรศัพท์ธรรมดา ทำให้ข้อมูลข่าวสารส่งถึงปลายทางมีความน่าเชื่อถือได้มากกว่าการส่งผ่านคู่สายระบบโทรศัพท์ธรรมดา
2.ความเร็วในการใช้งานรับส่งข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่สูงขึ้นกว่าการใช้งานผ่านคู่สายโทรศัพท์ระบบธรรมดา อุปกรณ์ระบบ ISDN สามารถรองรับการสื่อสารผ่านคู่สายโทรศัพท์ISDN ด้วยความเร็วตั้งแต่ 64 Kbps จนถึงความเร็วที่ 2,048 Mbps ที่ให้บริการโดยคู่สายPRIในขณะที่คู่สายโทรศัพท์ธรรมดาไม่สามารถรองรับการส่งสัญญาณสื่อสารได้ตามความเร็วที่ระบบISDN ทำได้ อุปกรณ์ Modemของระบบโทรศัพท์ ธรรมดาสามารถรองรับความเร็วได้สูงสุด56 Kbps แต่ในการใช้งานจริงก็ไม่สามารถใช้งานได้เต็มที่ตามความสามารถของ Modemได้ เพราะฉะนั้นการใช้งานผ่านระบบ ISDNจะทำให้สามารถรับส่งข้อมูลข่าวสารได้ในปริมาณมากและรวดเร็วกว่าการใช้งานผ่านคู่สายโทรศัพท์ธรรมดานอกจากนี้ยังสามารถทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการสื่อสารในระยะทางไกลข้ามจังหวัดได้เพราะค่าใช้บริการสื่อสารผ่านระบบ ISDN จะใช้อัตราเดียวกับค่าใช้บริการสื่อสารผ่านระบบโทรศัพท์ธรรมดาด้วย
3.เกิดความคล่องตัวในการเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์สื่อสารให้เหมาะสมในการใช้งานคู่สายระบบ ISDN เปรียบเสมือนคู่สายโทรศัพท์อเนกประสงค์ที่สามารถติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารอะไรก็ได้ตามความต้องการใช้งานในแต่ละขณะสามารถใช้งานอุปกรณ์สื่อสารที่ทันสมัย( เช่น อุปกรณ์ Video Conferenceเป็นต้น)ได้หลากหลายกว่าการใช้คู่สายโทรศัพท์ธรรมดา นอกจากนี้ยังสามารถใช้งานอุปกรณ์ที่มีอยู่ในระบบเดิมได้ด้วยจึงทำให้คู่สายระบบ ISDN มีความคล่องตัวในการใช้งานอุปกรณ์สื่อสารได้ดีกว่าการใช้งานผ่านคู่สายโทรศัพท์ธรรมดาเป็นอย่างมาก
4.สามารถรองรับการให้บริการสื่อสารในรูปแบบใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ในปัจจุบันมีผู้ใช้บริการ ISDNส่วนหนึ่งที่ใช้งานการสื่อสารทางด้านภาพ เช่น ใช้อุปกรณ์ Video Conference เพื่อใช้งานในการประชุมทางไกลผ่านจอภาพได้อย่างไรก็ตามการสื่อสารทางด้านภาพที่ทำได้ผ่าระบบ ISDN สามารถก่อให้เกิดการประยุกต์การใช้งานการสื่อสารได้ค่อนข้างหลากหลายซึ่งสามารถจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ เช่น
4.1 Tele-educationหรือ Tele trainingการเรียนการสอนอบรมทางไกลโดยครูอาจารย์ผู้ฝึกสอน สามารถทำาการสอนอบรมนักเรียนนักศึกษาผู้เข้ารับการอบรมทางไกลได้โดยที่ทั้ง 2 ฝ่ายไม่จำเป็นต้องมารวมกันในสถานที่เดียวกัน ลักษณะการเรียนการสอนอบรมจะเป็นการสื่อสารในลักษณะ2 ทาง(Interactiveor 2 ways Communication) ในขณะที่ระบบการเรียนการสอนในระบบเดิมที่ทำผ่านโทรทัศน์วิทยุ
เป็นการสื่อสารในลักษณะทางเดียวเท่านั้น
4.2 Telemedicineการรักษาพยาบาลทางไกลโดยแพทย์อยู่ต่างจังหวัดจะมีผู้ป่วยรอรับการรักษา แพทย์ในต่างจังหวัดจะทำการติดต่อสื่อสารกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในกรุงเทพฯผ่านอุปกรณ์ Video Conference รวมทั้งส่งข้อมูลของผู้ป่วย ซึ่งอาจจะเป็นภาพเอ๊กซ์เรย์คลื่นหัวใจภาพขยายจากการส่องกล้องเข้าไปในอวัยวะภายในของผู้ป่วยไปให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในกรุงเทพฯวินิจฉัยและแนะนำแพทย์ต่างจังหวัดดำเนินการรักษาผู้ป่วยได้ โดยไม่ต้องส่งผู้ป่วยเข้ากรุงเทพฯทำการรักษา
4.3 Tele-shoppingหรือ E-commerce ในอนาคตผู้ซื้อผู้ขายสามารถการเจรจาตกลงซื้อขายสินค้าบริการกันแบบหน้ากันทั้ง2 ผ่ายผ่านจอคอมพิวเตอร์หรือโทรทัศน์ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางออกไปเจรจาทำข้อตกลงในการซื้อขายสินค้าบริการกันเสมอไปทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายลงได้
4.4 Tele Surviellanceระบบดูแลรักษาความปลอดภัยทางไกล โดยจะมีการติดกล้องวีดีโอตามจุดต่างๆที่สำคัญในบริเวณโกดัง คลังสินค้า บริษัทห้างร้าน สาขาแล้วส่งสัญญาณภาพที่จับได้จากกล้องวีดีโอมายังศูนย์กลางซึ่งอาจจะเป็นสำนักงาน(Office) สำนักงานใหญ่ สถานีตำรวจ ซึ่งอยู่คนละสถานที่กันเช่นคนละอาคาร คนละจังหวัด เป็นต้น เพื่อตรวจดูความปกติเรียบร้อยของจุดที่ติดกล้องวีดีโอปลายทางหากเกิดเหตุ ฉุกเฉินที่ปลายทางสามารถส่งสัญญาณเตือนภัย (Alarm Signal) ส่งกลับมายังศูนย์กลางที่ทำการควบคุมได้ เพื่อแก้ไขเหตุการณ์ได้ตามสมควรต่อไปได้ เหล่านี้เป็นต้น
5. ผู้ใช้บริการISDN สามารถติดต่อสื่อสารไปยังผู้ใช้บริการในระบบโทรศัพท์ธรรมดาได้โดยใช้โทรศัพท์หรือโทรสารในคู่สายISDN ติดต่อสื่อสารไปยังเลขหมายปลายทางที่เป็นระบบโทรศัพท์ธรรมดาได้ทันที เพิ่มความสะดวกในการใช้งานโดยไม่ถูกจำกัดให้ใช้บริการ ISDN ติดต่อกันเฉพาะผู้ใช้บริการ ISDN ด้วยกันเท่านั้น
6. สามารถป้องกันการลักลอบดักฟังสัญญาณได้เนื่องจากคู่สาย ISDNจะมีการส่งสัญญาณด้วยระบบดิจิตอลสามารถป้องกันการลักลอบดักฟังสัญญาณได้ดีกว่าระบบโทรศัพท์ธรรมดา ซึ่งส่งเป็นสัญญาณอนาล็อก
ข้อดีของระบบ ISDN
1. ความน่าเชื่อถือ เป็นข้อมูล Digital ทั้งหมดตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางคือ อุปกรณ์สื่อสารของผู้ใช้บริการไม่ต้องมีการแปลงสัญญาณ (Conversion) ทำให้ความเพี้ยนของสัญญาณจะมีน้อยมากตลอดจนสิ่งรบกวน (Noise) ก็จะลดลงด้วย ทำให้ข้อมูลข่าวสารที่รับส่งในโครงข่าย ISDN มีความถูกต้องไว้วางใจได้สูงกว่าระบบเดิม
2. ความรวดเร็วในการรับส่งข้อมูลข่างสาร ด้วยความเร็ว 64 Kbps ต่อวงจรทำให้สามารถรับส่งสัญญาณเสียง ภาพ ตัวอักษรในปริมาณมากและรวดเร็วกว่าเดิม
3. ความสามารถในการเชื่อมต่อกับโครงข่ายอื่น ๆ ผู้ใช้บริการสามารถติดต่อกับผู้ใช้บริการอื่น ๆ ได้ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์, โทรสาร, เทเล็กซ์, เทเลเท็กซ์, เครื่องคอมพิวเตอร์ เนื่องจากโครงข่าย ISDN เป็นโครงข่ายเอนกประสงค์สำหรับทุกบริการ และสามารถเชื่อมต่อโครงข่ายส่วนบุคคลอื่นๆ ได้ทั่วประเทศ ความสะดวกในการบำรุงรักษา การเดินสายภายในสำนักงานของผู้ใช้บริการจะเป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่งขึ้น ไม่มีปัญหาว่าสายโทรศัพท์ สายโทรเลข สายคอมพิวเตอร์ หรือต่อสายเชื่อมโยงกับอุปกรณ์อื่น ๆ จะพันระเกะระกะ และบางครั้งแยกไม่ออกว่าเป็นสายจากเครื่องใด แต่คู่สาย ISDN จะลดสายจากอุปกรณ์ต่าง ๆ เหลือเพียงเส้นเดียว ไม่กระทบต่อการใช้งานและสะดวกในการบำรุงรักษาภายหลัง
ความสะดวกในการติดตั้งอุปกรณ์ใช้งาน คู่สาย ISDN 1คู่สาย สามารถรองรับการติดตั้งอุปกรณ์ปลายทางได้สูงสุดถึง 8 เครื่องซึ่งผู้ใช้บริการ ISDN นอกจากจะติดตั้งอุปกรณ์ปลายทางบางส่วนสำหรับใช้งานปัจจุบันแล้วยังเผื่อสำรองการใช้งานในอนาคตได้อีก โดยการติดตั้งปลั๊ก ISDN ไว้ในที่ต่าง ๆ

ภาพการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ ISDN
2. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ ADSL (Asymmetric Digital Subscriber Line)
ADSL เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านสายโทรศัพท์แบบเดิม แต่ใช้การส่งด้วยความถี่สูงกว่าระบบโทรศัพท์แบบเดิม ชุมสายโทรศัพท์ที่ให้บริการหมายเลข ADSL จะมีการติดตั้งอุปกรณ์ คือ DSL Access Module เพื่อทำการแยกสัญญาณความถี่สูงนี้ออกจากระบบโทรศัพท์เดิม และลัดเข้าเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตโดยตรง ส่วนผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตจะต้องมี ADSL Modem ที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ผ่าน ADSL จะมีความเร็วที่ 64/128 Kbps (อัพโหลด ที่ 64 Kbps และ ดาวน์โหลด ที่ 128 Kbps) และที่ 128/256 Kbps (อัพโหลด ที่ 128 Kbps และ ดาวน์โหลด ที่ 256 Kbps) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้บริการ
อุปกรณ์ที่ใช้
1. เครื่องคอมพิวเตอร์
2. ASDL Modem ใช้ในการแปลงสัญญาณ ซึ่งมีทั่งแบบที่ต่อกับสาย LAN หรือสายที่ต่อกับพอร์ต USB หรือในรูปแบบของการ์ดเสียงในสล็อต PCI ของเครื่องคอมพิวเตอร์
3. Splitter ใช้สำหรับแยกสัญญาณความถี่สูงของ ASDL ออกจากสัญญาณโทรศัพท์พื้นฐาน มิเช่นนั้น จะมีเสียงความถี่เข้าไปรบกวนเมื่อใช้โทรศัพท์สำหรับพูดคุยพร้อมกับการเชื่อมต่ออินเทอรืเน็ต
4. หมายเลขโทรศัพท์ และสายโทรศัพท์ ที่พร้อมจะใช้งานในระบบ ASDL
ประโยชน์ของการใช้ระบบ ASDL
• ท่านสามารถคุยโทรศัพท์พร้อมกันกับการ Access ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้พร้อมกัน ด้วยสายโทรศัพท์เส้นเดียวกัน โดยไม่หยุดชะงัก
• ท่านสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วเป็น 140 เท่าเมื่อเทียบกับการใช้ Modem แบบ Analog ธรรมดา
• การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของท่านจะถูกเปิดอยู่เสมอ (Always-On Access) ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากการส่งถ่ายข้อมูลถูกแยกออกจากการ เรียกเข้ามาของ Voice หรือ FAX ดังนั้นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของท่านจะไม่ถูกกระทบกระเทือนแต่อย่างใด
• ไม่มีปัญหาเนื่องสายไม่ว่าง ไม่ต้อง Log On หรือ Log off ให้ยุ่งยากอีกต่อไป
• ADSL ไม่เหมือนกับการให้บริการของ Cable Modem ตรงที่ ADSL จะทำให้ท่านมีสายสัญญาณพิเศษเฉพาะเพื่อเชื่อมต่อกับ อินเทอร์เน็ต ขณะที่ Cable Modem เป็นการ Share ใช้สายสัญญาณกับผู้ใช้คนอื่นๆ ที่อาจเป็นเพื่อนบ้านของท่าน
• ที่สำคัญ Bandwidth การใช้งานของท่านจะมีขนาดคงที่ (ตามอัตราที่ท่านเลือกใช้บริการอยู่เสมอ) ขณะที่ขนาดของ Bandwidth ของการเข้ารับบริการ Cable Modemหรือการใช้บริการ อินเทอร์เน็ตปกติของท่าน จะถูกบั่นทอนลงตามปริมาณการใช้งาน อินเทอร์เน็ตโดยรวม หรือการใช้สาย Cable Modem ของเพื่อนบ้านท่าน
• สายสัญญาณที่ผู้ให้บริการ ADSL สำหรับท่านนั้น เป็นสายสัญญาณอิสระไม่ต้องไป Share ใช้งานกับใคร ด้วยเหตุนี้ จึงมีความน่าเชื่อถือ และมีความปลอดภัยสูง
ข้อดี ข้อเสีย
ข้อดี
- ไม่สะดุดตลอดการใช้งานผู้ใช้จะไม่พบปัญหาสายหลุดบ่อยเหมือน moderm ปกติ
- ด้วยเทคโนโลยี ADSLผู้ใช้เพียง click browser ก็สามารถเชื่อมต่อเข้ากับโลก
อินเทอร์เน็ตได้โดยไม่ต้องหมุนเลขหมาย
- ทำงานรวดเร็วทันใจ
- ให้ความเร็วสูงตั้งแต่ 64 Kbps. ถึง 8 Mbps.
- รองรับ Application ที่ต้องการ Bandwidth สูงโดยเฉพาะเทคโนโลยีด้าน Multimedia
-ป้องกันไวรัสได้ดีกว่าระบบอื่นๆ
ข้อเสีย
-เสียเวลาในการติดตั้งมากเพราะการติดตั้งมีหลายขั้นตอน
-ถ้าเครื่องสเปกไม่สูงพออาจทำให้การต่อไม่สำเร็จ
-มีราคาสูงกว่าระบบอินเตอร์เน็ตทั่วไป
ภาพการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบ ADSL
3.การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบเคเบิลโมเด็ม (Cable Modem) เป็นอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกับสายเคเบิลทีวี และรับข้อมูลที่ 1.5 Mbps อัตราข้อมูลสูงกว่าโมเด็มโทรศัพท์ขนาด 28.8 และ 56 kbps หรือระบบ Integrated Services Digital Network (ISDN ) ขนาด 128 kbps และอัตราข้อมูลรองรับกับระบบ Digital Subscriber Line (DSL) นอกจากนี้ cable modem สามารถเพิ่มหรือรวมกับ set-top-box ที่ให้โทรทัศน์ใช้ช่องสัญญาณของอินเตอร์เน็ต ในกรณีส่วนใหญ่ cable modem สามารถทำเป็นส่วนการเข้าถึงทางสายเคเบิล ซึ่งไม่ต้องซื้อโดยตรงและติดตั้งโดยผู้ให้บริการ
cable modem มีการติดต่อ 2 ด้าน คือ ด้านหนึ่งเข้าสู่จุดเชื่องของสายเคเบิล และอีกด้านต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ set-top-box ของโทรทัศน์ ถึงแม้ว่า cablemodem สามารถแปลงสัญญาณระหว่างสัญญาณอนาล็อตกัดิจิตอลแต่มีความซับซ้อนมากกว่าโมเด็มของโทรศัพท์ซึ่งสามารถต่อภายนอกหรือรวมเป็นอุปกรณ์ภายในคอมพิวเตอร์หรือ set-top-box โดยมาตรฐาน cable modem ต่อกับคอมพิวเตอร์ ที่การ์ด Ethernet แบบ 10 BASE-T cable modem ทั้งหมดต่อกับสายเคเบิลของบริษัทเคเบิลทีวีด้วยสาย coaxial cable ติดต่อกับระบบ cable modem termination systme (CMTS) ที่สถานีของบริษัทเคเบิลทีวี calbe modem ทั้งหมดสามารถรับและส่งสัญญาณไปที่ CMTS มีการบริการบางแบบที่การส่งกลับด้าน upstream ใช้สายโทรศัพท์ ไม่ใช้สายเคเบิล ในกรณีนี้ cable modem ได้รับการเรียกว่า telco-return cable modem bandwidth จริงของการให้บริการอินเตอร์เน็ตผ่านสายเคเบิลทีวีสูงถึง 27 Mbps ในเส้นทางการดาวน์โหลดไปให้ผู้รับบริการ และ bandwidth ในการติดต่อในอีกทิศทางหนึ่งมีขนาด 2.5 Mbps อย่างไรก็ตาม ผู้ให้บริการโดยทั่วไปจะไม่สามารถติดต่อกับอินเตอร์เน็ตได้เร็วกว่าของระบบ T-carrier ที่ 1.5 Mbps ดังนั้น การติดต่อจึงมีอัตราข้อมูลใกล้เคียงกับ 1.5 Mbps นอกจากอัตราข้อมูลเร็วกว่าแล้ว ข้อได้เปรียบอีกข้อของเคเบิลบนโทรศัพท์เข้าถึงอินเตอร์เน็ตคือ เป็นการเชื่อมต่อแบบต่อเนื่อง
อุปกรณ์ที่ใช้
1. เครื่องคอมพิวเตอร์
2. Splitter อุปกรณ์สำหรับแยกสัญญาณ
3. Cable Modem สำหรับแปลงสัญญาณ ซึ่งต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้หลายแบบ เช่น สาย LAN สำหรับการเชื่อมต่อที่มากกว่า 1 เครื่อง หรือสายต่อกับพอร์ต USB
ประโยชน์ของการใช้ระบบเคเบิลโมเด็ม
1.สามารถเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ทันทีโดยไม่ต้องรอสัญญาณการเชื่อมต่อ
2.มีความเร็วสูงกว่า 128 kbps
ภาพการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบเคเบิลโมเด็ม (Cable Modem)
4.การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม (Satellite) เป็นบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันใช้การส่งผ่านดาวเทียมแบบทางเดียว (One way) คือ จะมีการส่งสัญญาณมายังผู้ใช้ (download)ด้วยความเร็วสูงในระดับเมกะบิตต่อวินาทีแต่การส่งสัญญาณกลับไป หรือการอัพโหลด จะทำได้โดยผ่านโทรศัพท์แบบธรรมดา ซึ่งจะได้ความเร็วที่ 56 Kbps การใช้บริการอินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียมอาจได้รับการรบกวนจากสภาพอากาศได้ง่าย
อุปกรณ์ที่ใช้
1. จานดาวเทียมขนาดเล็ก
2. อุปกรณ์รับสัญญาณจากดาวเทียมเพื่อแปลงเข้าสู่คอมพิวเตอร์
3. โมเด็มธรรมดา พร้อมสายโทรศัพท์ 1 คู่สาย เพื่อส่งสัญญาณกลับ (Upload)
4. ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียม ในปัจจุบันมีเพียงรายเดียว คือ CS Internet ในเครื่อชิน
คอร์ปอเรชั่น
2. ช่องทางการสื่อสารจะถูกรบกวนได้ง่ายจาก สภาพ ดิน ฟ้า อากาศ
3. มีอุปกรณ์ที่มีราคาแพง
4. การส่งข้อมูลกลับ ต้องใช้โมเด็มกับสายโทรศัพท์ซึ่งมีความเร็วตำ
5. เสียค่าโทรศัพท์เพียงครั้งละ 3 บาท ทั่วประเทศ
ข้อดี - ข้อเสีย
1. ความเร็วในการรับข้อมูลสูง
2. ช่องทางการสื่อสารจะถูกรบกวนได้ง่ายจาก สภาพ ดิน ฟ้า อากาศ
3. มีอุปกรณ์ที่มีราคาแพง
4. การส่งข้อมูลกลับ ต้องใช้โมเด็มกับสายโทรศัพท์ซึ่งมีความเร็วต่ำ
5. เสียค่าโทรศัพท์เพียงครั้งละ 3 บาท ทั่วประเทศ
ภาพการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม (Satellite)
5. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบวงจรเช่า ( Leascd Line) การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ Leascd Line จะเหมาะกับการใช้งานสำหรับองค์กร สถาบันการศึกษา หรือระบบธุรกิจต่างๆ ที่มีผู้ใช้บริการอิน เทอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก โดยไม่ต้องหมุนโทรศัพท์เข้าไปยังศูนย์บริการอินเทอร์เน็ต เพราะการเชื่อมต่อ แบบ Leascd Line จะเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 24 ชั่วโมง ค่าใช้จ่ายในการเช่าจะต้องจ่ายเป็นรายเดือน โดยจะเสียค่าบริการตามความเร็วที่เช่าสายสัญญาณ เป็นอัตราเดียวกันทุกเดือน และไม่ต้องเสียค่าบริการตามชั่วโมงการใช้งานอีก เปรียบเสมือนการเหมาจ่ายค่าบริการ การเชื่อมต่อแบบ Leascd Line จะเป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบถาวร ในขณะที่การเชื่อมต่อแบบ Dial-up จะเป็นการเชื่อมต่อแบบชั่วคราวผ่านทางสายโทรศัพท์ ดังนั้น การเชื่อมต่อรูปบบนี้จะไม่ต้องใช้หมายเลขโทรศัพท์ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต สามารถใช้บริการได้ 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องโทรเข้าที่ศูนย์ให้บริการอินเทอร์เน็ตในองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก จะนิยมการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในรูปแบบนี้ เพราะสามารถใช้บริการอินเทอร์เน็ตได้โดยไม่จำกัดปริมาณการใช้งานและสามารถบริหารจัดการ Account ของผู้ใช้ในองค์กรได้ โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาต่างๆ จะต้องให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่นักเรียน นักศึกษา และบุคลากรในหน่วยงาน เพื่อค้นหาความรู้ หรือ เพื่อรับส่งข้อมูล ทั้งด้านการเรียนการสอนและการทำงานก็สามารถที่จะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ Leascd Line แต่อาจจะบริหารการจัดการโดยจัดแบ่งเป็นการเชื่อมต่อสำหรับงานบริหารภายในองค์กร และสำหรับการใช้งานด้านการเรียนการสอนเพื่อที่จะแยกกลุ่มผู้ใช้ ทำให้ผู้ดูแลระบบสามารถดูและความเหมาะสม หรือขอบเขตสำหรับการใช้งานใรแต่ละกลุ่มได้
ค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ Leascd Line
1. ค่าบริการแรกเช่า ( Start Up Fee ) จะเท่ากับค่าบริการรายเดือน 1 เดือน โดยจะเสียค่าบริการแรกเข้าเพียงครั้งแรกของการใช้บริการเท่านั้น
2. ค่าบริการอินเทอร์เน็ตรายเดือน ( Internet Access ) ขึ้นอยู่กับความเร็วที่ต้องการสำหรับการใช้
งาน โดยจะต้องจ่ายค่าบริการทุกเดือนในอัตราเดียวกัน
3. ค่าเช่าคู่สาย Leascd Line ( Media ) ค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะต้องจ่ายเป็นรายเดือน
4. ค่าติดตั้งอุปกรณ์สำหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และค่าอุปกรณ์สำหรับการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย LAN ภายในองค์กร
อุปกรณ์ที่ใช้
1. ระบบเครือข่าย LAN ภายในองค์กร
2. อุปกรณ์พื้นฐาน คือ Routre และ Modem ( Synchronous Modem ใช้สำหรับการเชื่อมต่อระหว่าง
คู่สาย Leascd Line กับ Router)
3. องค์กรจะต้องทำสัญญาเพื่อขอเช่า Leascd Line กับผู้ให้บริการ ได้แก่ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย การสื่อสารแห่งประเทศไทย บริษัทเทเลคอมเอเชีย บริษัท TT&T บริษัท UCOM และ บริษัท Data Net
การเลือกผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ( ISP )
ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หรือ Internet Service Provider ( ISP ) คือ หน่วยงาน หรือองค์กรที่ให้บริการในการเชื่อมต่อในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตกับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคล หรือคอมพิวเตอร์ในหน่วยงาน ปัจจุบันมีผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตมากมายที่เราสามารถเลือกการบริการได้ ทำให้เกิดผลดีต่อผู้ บริโภคในการทีจะพิจารณาเลือกใช้บริการกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต โดยวิธีการหลักที่ควรคำนึงถึง ดังต่อไปนี้
1. ความน่าเชื่อถือ การสมัครเป็นสมาชิกเพื่อขอใช้บริการจากผู้ให้บริการจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตนั้นเปรียบเสมือนการซื้อบริการในสิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้ ดัวนั้น ควรจะพิจารณาว่าผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตบริษัทนั้นมีความน่าเชื่อถือในการให้บริการมากน้อยเพียงใด ซึ่งจะสามารถหาข้อมูลได้โดยการสอบถามจากผู้เคยใช้บริการโดยตรง หรือบุคคลที่อยู่ใน Newsgroups Online
2. ประสิทธิภาพของระบบ โดยพิจราณาจากความเร็วในการรับส่งข้อมูล การเชื่อมต่อกัยสายโทรศพท์หลุดบ่อยหรือไม่ เพราะถ้าขณะใช้งานอินเทอร์เน็ตแล้วสายโทรศัพท์หลุดบ่อยนั้นจะทำให้เราต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อเข้าไปใหม่ทุกครั้ง หรือในขณะที่เรากำลังทำการโอนย้ายข้อมูล และเกิดสายโทรศัพท์หลุดก็จะทำให้เราต้องเสียเวลาในการทำการโอนย้ายข้อมูลใหม่และควรพิจารณาถึงความเร็วในการเชื่อมต่อไปยังต่างประเทส และการเชื่อมต่อกับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตภายในประเทศด้วย โดยเราสามารถสอบถามข้อมูลโดยตรงจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตให้เหมาะสมกับการใช้งานต่อไป
3. หมายเลขโทรศัพท์ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตจะมีช่องทางการให้บริการด้วยโมเด็ม ดังนั้น จำนวนผู้ใช้บริการจะต้องสัมพันธ์กับหมายเลขโทรศัพท์ที่ได้จัดหาไว้ เพราะถ้าหากจำนวนผู้ใช้บริการมาก แต่หมายเลขโทรศัพท์ที่ให้บริการมีน้อย จะทำให้การเชื่อมต่อเพื่อขอใช้บริการอินเทอร์เน็ตทำได้ยากเพราะจะปรากฏว่าสายไม่ว่าง ทำให้ต้องเสียเวลาในการต่อสายโทรศัพท์หลายครั้ง
4.อัตราการใช้โมเด็ม ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตจะต้องมีคู่สายโมเด็มเพียงพอต่อการรองรับการใช้บริการของลูกค้า โดยอัตราส่วนของลูกค้าต่อโมเด็มที่มีประสิทธิภาพนั้น จะอยู่ที่อัตราส่วน 4:1 หมายถึง โมเด็ม 1 ตัว ต่อสมาชิก 4 ราย ถ้าอัตราส่วนของผู้ใช้มีจำนวนมากต่อโมเด็ม 1 ตัว ก็จะมีผลทำให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตนั้นช้าลงตามอัตราส่วนของผู้ใช้
5. ค่าบริการ การให้บริการอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันนี้ จะมีทั้งระบบการซื้อชั่วโมงมาใช้งาน เช่น 10, 20, 25, 30, 50, 100 ชั่วโมง เป็นต้น โดยเราสามารถเลือกซื้อตามปริมาณการใช้งานของเราได้ ซึ่งมีอายุการใช้งาน 1 ปี ต่อการติดชั่วโมงการใช้งาน 1 ปี ต่อการติดตั้งชั่วโมงการใช้งาน 1 Packer หรือการเหมาจ่ายเป็นรายเดือน ซึ่งผู้ใช้บริการควรจะพิจารณาจากปริมาณการใช้งานของตนเอง เพื่อให้คุมค่าต่อปริมาณค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายไป เช่น ถ้าเลือกการเหมาจ่ายเป็นรายเดือน แต่ใน 1 สัปดาห์อาจจะใช้อินเทอร์เน็ตเพียง 1 หรือ 2 วัน โดยไม่ได้ใช้สมำ่เสมอ ก็จะทำให้เราเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าปริมาณการใช้งานจริง
6. บริการให้คำปรึกษา บางครั้งการใช้บริการอินเทอรืเน็ต ผู้ใช้บริการอาจเจอปัญหาต่างๆ เช่น ไม่สามารถเชื่อมต่อการใช้งานอินเทอรืเน็ตกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตได้ หรือลืมรหัสผ่านในการ Login เข้าไปยังระบบ ตลอดจนสอบถามปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ดังนั้น ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตควรจะมีบริการให้คำปรึกษาโดยผ่านทางศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ หรือโดยให้ผู้ใช้เข้าไปสอบถามที่เว็บไซต์ชองผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตได้ นอกจากนี้ยังต้องสามารถให้ผู้ใช้บริการตรวจสอบข้อมูลการใช้งานของตนเองได้อีกด้วย ซึ้งข้อนี้ก็เป็นหลักสำคัญประการหนึ่งที่ผู้ใช้บริการควรจะนำไปพิจารณาเลือกการใช้งานจากผู้ให้บริการอินเทอรืเน็ต
7. ค่าธรรมเนียมต่างๆ พิจารณาว่าผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแต่ละแห่ง นอกเหนือจากอัตราค่าบริการแล้วมีการคิดค่าธรรมเนียมอื่นๆ อีกหรือไม่
8. บริการเสริม นอกจากการให้บริการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแล้ว ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตได้มีบริการเสริมอื่นๆ ให้ใช้บริการอีกหรือไม่ เช่น มีพื่นที่ว่างสำหรับการสร้าง Homepage และมี E-mail Address ให้ด้วยหรือไม่
เว็บไซต์ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย
บริษัท INTERNET KNOWLEDGE SERVICES CENTER
จัสมินอินเทอร์เน็ต ในเครือข่ายจัสมิน และ TT & T
บริษัท Loxley Information Service
การติดตั้งโปรแกรมเชื่อมต่อแบบ Dial-up Connection
เมื่อได้เตรียมอุปกรณ์สำหรับการใช้งาน และเลือกผู้ให้บริการอินเทอรืเน็ตเพื่อใช้งานได้แล้วก็ต้องทำการติดตั้งโปรแกรมเชื่อมต่ออินเทอรืเน็ต โดยเป็นการใช้อินเทอรืเน็ตในรูปแบบการซื้อชั่วโมงสำหรับการใช้งานภายในบ้าน โดยใช้โทรศัพท์พื้นฐานในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นแบบ Dial-up
ขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรมเชื่อมต่อแบบ Dial-up Connection บนระบบปฏิบัติการ Windows XP
1. คลิกที่ Start - Settings - Control Panel
2. เลือก Network and Internet Connections
3.เลือก Create a connection to the network at your workplace
4.ปรากฏหน้าจอ New Connection Wizard / Network Connection ให้คลิกที่ Dial-up connection - Next
5. ปรากฏหน้าจอ New Connection Wizard / Connection Name อินเทอร์เน็ต (ISP) เช่น KSC และให้คลิกที่ Next
6.ปรากฏหน้าจอ New Connection Wizard /Phone Number to Dial ให้พิมพ์หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) เช่น 044240400 และให้คลิกที่ Next
7. ในขั้นตอนสุดท้าย ให้เลือกที่ Add a shortcut to this connection to my desktop เพื่อสร้าง shortcut สำหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไว้ที่หน้าจอ Desktop แล้วคลิกที่ Finish
เมื่อได้ติดตั้งโปรแกรมสำหรับการเชื่อมต่ออินเทอรืเน็ตเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในการใช้งานครั้งต่อไป เพียงแค่ดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอนของการเชื่อมต่อบนหน้าจอ Desktop เพื่อกระทำการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตต่อไป
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
1. ดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอนของการเชื่อมต่อบนหน้าจอ Desktop
หรือ คลิกที่ Start - Settings - Network Connections
2. ปรากฏหน้าจอ Connect...
ให้พิมพ์ Username และ Password ซึ่งทั้งสองส่วนนี้จะได้มาใน Password อีกก็สามารถกำหนดให่โปรแกรมจำ Password ไว้ให้ โดยเลือกคลิกที่ Save this user name and password for the following users:
โดยในช่อง Dial จะปรากฏหมายเลขโทรศัพท์ที่ได้กำหนดไว้ตั้งแต่การติดตั้งโปรแกรมเพื่อใช้งาน แล้วให้คลิดที่ Dial เพื่อทำการเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ต่อไป
3. เมื่อทำการเชื่อมต่อเข้ากับระบบของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเรียบร้อยแล้ว จะปรากฏที่ด้านล่างของหน้าจอ Desktop เพื่อแสดงสถานะของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
และถ้าเมื่อต้องการที่จะเข้าไปใช้งานอินเทอรืเน็ต ก็สามารถดับเบิ้ลคลิกที่โปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ได้ทันที
การยกเลิกการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
เมื่อต้องการยกเลิกการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ให้คลิกขวาที่......ซึ่งอยู่ด้านล่างของหน้าจอ Desktop จะปรากฏหน้าต่าง เพื่อให้เลือก Disconnect หรือถ้าต้องการให้แสดงสถานะของการเชื่อมต่อ ให้เลือกที่ Status โดยจะแสดงสถานะระยะเวลา และความเร็วในการเชื่อมต่อ
แบบฝึกหัดบทที่ 2
1. โมเด็มสามารถรับส่งข้อมูลได้ไม่เกินความเร็วที่เท่าไหร่
ก. 50 Kbps
ข. 56 Kbps
ค. 60 Kbps
ง. 66 Kbps
2. ถ้าเราจะเลือกการบริการ ควรคำนึกถึงข้อใด
ก. ความน่าเชื่อถือ
ข. ประสิทธิภาพของระบบ
ค. ค่าบริการ
ง. ทั้งหมดที่กล่าวมา
3. Leased Line เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบใด
ก. แบบผ่านดาวเทียม
ข. แบบ ADSL
ค. แบบวงจรเช่า
ง. แบบ ISDN
4. ข้อดี-ข้อเสีย ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม
ก. ความเร็วในการรับข้อมูลสูง
ข. ช่องทางการสื่อสารจะถูกรบกวนได้ง่าย
ค. มีอุปกรณ์ที่มีราคาแพง
ง. ถูกทุกข้อ
5. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในรูปแบบใดที่ ไม่เหมาะสม กับการใช้งานภายในบ้าน
ก. Dial-up
ข. ISDN
ค. ADSL
ง. Leased Line
6. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ ISDN แบ่งออกเป็นกี่ระดับ
ก. 1 ระดับ
ข. 2 ระดับ
ค. 3 ระดับ
ง. 4 ระดับ
7. การให้บริการ แบบ BAI เหมาะสำหรับผู้ใช้อย่างไร
ก. สำหรับผู้ใช้รายย่อย
ข. สำหรับองค์กรขนาดใหญ่
ค. สำหรับผู้ใช้ในการทำงานเยอะๆ
ง. สำหรับผู้ใช้ในการเล่นเกมส์
8. โปรแกรมที่ใช้สำหรับการสื่อสารบทอินเทอร์เน็ต คือโปรแกรมใด
ก. Network
ข. Internet Options
ค. Internet Explorer
ง. Microsoft Word
9. โมเด็ม (Modem) มีหน้าที่
ก. แปลงข้อมูลในรูปแบบดิจิทัลให้เป็นสัญญาณเสียงในรูปแบบแอนะล็อก
ข. แปลงข้อมูลภาพให้เป็นข้อมูลแบบไฟล์
ค. แปลงข้อมูลสัญญาณเสียงให้เป็นข้อมูลภาพ
ง. ช่องทางการสื่อสารจะถูกรบกวนได้ง่าย
10. การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตในรูปแบบใดที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่สุด
ก. Dial-up
ข. Leased Line
ค. Satellite
ง. ISDN
เฉลย : 1.ข 2.ง 3.ค 4.ง 5.ค 6.ข 7.ก 8.ค 9.ก 10.ข